คลังปรับภาษีสรรพสามิตยานยนต์ ใช้ความปลอดภัยกำหนดอัตราภาษี

รถยนต์

คลังปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์-รถจักรยานยนต์ ใช้มาตรฐานความปลอดภัย 6 ระบบ กำหนดอัตราภาษี หากทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานเสียภาษีสูงขึ้น เริ่มปี’65

วันที่ 2 มีนาคม 2565 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่จะส่งเสริมให้ผู้ผลิตรถยนต์นำมาตรฐานด้านความปลอดภัย เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดอัตราภาษีด้วย โดยหากมีการติดตั้งระบบ แอดวานซ์ ไดรเวอร์ (เอดาส) จะได้รับอัตราภาษีที่ต่ำ แต่หากมีการติดตั้งน้อยกว่าที่กำหนด ก็จะเสียภาษีอีกอัตราหนึ่งซึ่งเป็นภาษีที่สูงขึ้น โดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 65-69 เป็นต้นไป

สำหรับระบบมาตรฐานความปลอดภัยในการขับขี่ เอดาส ที่กรมสรรพสามิตกำหนดมีด้วยกัน 6 ระบบ ได้แก่ ระบบเปลี่ยนเลน ระบบเบรกฉุกเฉิน ระบบเตือนชนด้านหน้า ระบบควบคุมความเร็วคงที่ ระบบการรักษาทางวิ่งในเลน และการแก้ไขจุดบอดภายในรถ โดยรถเก๋งที่ใช้พลังงานไฟฟ้า กำหนดให้ต้องมีอุปกรณ์มาตรฐานความปลอดภัย 4 ใน 6 ระบบ รถเก๋งที่ใช้น้ำมันต้องมี 2 ใน 6 ระบบ รถกระบะไฟฟ้าต้องมี 2 ใน 6 ระบบ และรถกระบะน้ำมันต้องมี 1 ใน 6 ระบบ เป็นต้น

               

“ปกติระบบมาตรฐานความปลอดภัยเหล่านี้ จะมีการติดตั้งในรถที่มีราคาสูง แต่หากมีการกำหนดระบบความปลอดภัยเอดาส เป็นค่ามาตรฐานสำหรับรถยนต์ทั่วไป จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยในรถยนต์ และลดอุบัติเหตุจากการขับขี่ได้มากขึ้น”

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า โครงสร้างภาษีเพื่อส่งเสริมให้รถยนต์มีมาตรฐานความปลอดภัย จะเริ่มใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ไฮบริดก่อน เริ่มตั้งแต่ปี 65 เช่น กรณีรถเก๋งไฟฟ้า หากมีการทำได้ตามมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนด ในปี 65-69 จะเสียภาษีเพียง 2% แต่ถ้าไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์จะเสียภาษีปี 65 มากถึง 8% และเพิ่มเป็น 10% ในปี 69

ส่วนรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด แบบวิ่งด้วยระบบไฟฟ้าเกิน 80 กม. และมีถังน้ำมันต่ำกว่า 45 ลิตร หากทำได้ตามหลักเกณฑ์มาตรฐานปลอดภัยจะเสียภาษีปี 69-73 ในอัตรา 5% แต่ถ้าทำไม่ได้เสียภาษี 15-20% ขณะที่รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด แบบวิ่งด้วยระบบไฟฟ้าต่ำกว่า 80 กม. และมีถังน้ำมันใหญ่กว่า 45 ลิตร หากทำได้ตามหลักเกณฑ์มาตรฐานปลอดภัยจะเสียภาษีปี 69-73 ในอัตรา 10% แต่ถ้าทำไม่ได้เสียภาษีเพิ่มเป็น 15-20%

ขณะที่รถเก๋งใช้น้ำมัน และรถไฮบริดจะเริ่มตั้งแต่ปี 69 ยกตัวอย่าง รถที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 151-200 กรัมต่อกม. หากทำได้ตามเกณฑ์กำหนด จะเสียภาษีปี 69 ที่ 29% ปี 71 เสีย 31% และปี 73 เสีย 33% แต่ถ้าทำระบบความปลอดภัยไม่ได้ตามกำหนดจะเสียเพิ่มเป็นปีละ 35-40%

ส่วนรถเก๋งไฮบริด ตัวอย่าง รถที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 151-200 กรัมต่อกม. หากทำได้ตามเกณฑ์กำหนด จะเสียภาษีปี 69 ที่ 19% ปี 71 เสีย 21% และปี 73 เสีย 23% แต่ถ้าทำไม่ได้ตามกำหนดจะเสียเพิ่มเป็นปีละ 25-30%