ควบรวมทรู-ดีแทค : สภาผู้บริโภคฯ กระทุ้ง กสทช. ทบทวนมติ 3:2:1

ควบรวม ทรู ดีแทค
Image by ฤตินันทน์ อาจวิชัย from Pixabay

สภาองค์กรของผู้บริโภค เตือน กสทช. มติควบรวม 3:2:1 ผิดกฎหมาย ย้ำทบทวนก่อนส่งหนังสือแจ้งทรู-ดีแทค

วันที่ 25 ตุลาคม 2565 รายงานข่าวจากสภาองค์กรของผู้บริโภคเปิดเผยว่า จากการที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ลงมติด้วยคะแนนเสียง 3:2:1 โดยมีการสรุปว่าคณะกรรมการได้ตัดสินว่า กสทช.มีหน้าที่เพียง “รับทราบ” 3 เสียง ซึ่งชนะกรรมการที่ลงมติว่า “ไม่อนุญาต” ให้ควบรวมที่มีคะแนน 2 เสียง โดยมีหนึ่งคะแนนเสียง “งดออกเสียง” นั้น

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค และอดีตกรรมการ กสทช. กล่าวว่า สภาองค์กรของผู้บริโภคได้ส่งหนังสือด่วนถึง กสทช. ว่ามติดังกล่าวอาจเป็นมติที่ผิดกฎหมาย เนื่องจากผิดระเบียบข้อบังคับการประชุมของ กสทช. และมติดังกล่าวขัดกับคำวินิจฉัยของศาลปกครองกลาง

ประกอบถ้อยคำให้การที่ กสทช.ให้ไว้ในการพิจารณาคดีที่ศาลปกครองว่า กสทช. เป็น “ผู้มีอำนาจอนุญาต หรือไม่อนุญาต” พิจารณาการควบรวมบริษัท หาก กสทช.ไม่รับฟังการทักท้วงครั้งนี้ และจะดำเนินการส่งหนังสือแจ้งมติไปยังบริษัทเอกชนทั้งสอง อาจถือว่าเป็นเจตนาจงใจฝ่าฝืนกฎหมาย

“มติดังกล่าวอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการกล่าวอ้างว่าถึงคะแนนเสียง 2:2:1 ว่าเป็นคะแนนเสียงที่เท่ากันแล้วให้ประธานออกเสียงชี้ขาดเพิ่มอีกหนึ่งเสียงนั้นทำไม่ได้ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบประโยชน์สาธารณะจึงต้องใช้มติพิเศษที่ต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งจากทั้งหมด ถึงจะมีความชอบธรรม” สุภิญญากล่าว

ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสารฯระบุอีกว่า การยื่นหนังสือต่อ กสทช.ในครั้งนี้ เป็นไปเพื่อขอให้ชะลอการส่งหนังสือแจ้งมติและทบทวนมติให้ถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน เนื่องจากการประชุมที่มีมติ 2:2:1 แล้วประธานมีการออกเสียงเพิ่มอีกหนึ่งเสียงเพื่อตัดสินชี้ขาดนั้น อาจเป็นการกระทำที่ขัดต่อข้อ 41 แห่งระเบียบคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พ.ศ. 2555

ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่ใช่กรณีที่มีคะแนนเสียงเท่ากัน และไม่ใช่กรณีได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของคะแนนทั้งหมด เนื่องจากกรรมการที่ลงคะแนนเสียงมีทั้งหมด 5 คน และมีการลงมติเห็นชอบจำนวน 2 เสียง ลงมติไม่เห็นชอบจำนวน 2 เสียง และงดออกเสียงจำนวน 1 เสียง

ประธานจึงไม่มีสิทธิออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงเป็นเสียงชี้ขาดตามข้อ 41 วรรคท้ายได้ และผลการลงมติดังกล่าวถือว่าเป็นกรณีคะแนนเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งตามข้อ 41 (2) เนื่องจากเป็นการประชุมที่ต้องได้รับมติพิเศษ คือได้รับความเห็นชอบจากกรรมการ “ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง” ของจำนวนกรรมการทั้งหมด

มติดังกล่าวจึงต้องตกไป และต้องมีการลงมติใหม่ ดังนั้น การที่ประธานมีคะแนนเสียงเพิ่มอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด และกำหนดให้การประชุมดังกล่าวมีมติรับทราบ และกำหนดเงื่อนไข หรือมาตรการเฉพาะ จึงอาจเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค และอดีตกรรมการ กสทช.

นางสาวสุภิญญากล่าวด้วยว่า คำวินิจฉัยของศาลปกครองเรื่องอำนาจของ กสทช. ในการอนุญาตหรือไม่อนุญาต มติของ กสทช. อาจทำให้ กสทช.ต้องเจอปัญหาข้อกฎหมาย เนื่องจากการลงมติรับทราบดังกล่าวนี้อาจเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

โดยอ้างถึงคดีหมายเลขดำที่ 775/2565 ของศาลปกครองกลาง กสทช. (ผู้ถูกฟ้องคดี) ได้มีการยอมรับต่อศาล ว่าสามารถใช้อำนาจตามกฎหมายในการห้ามมิให้มีการรวมธุรกิจ โดยมีอำนาจอนุญาตหรือไม่อนุญาตตามข้อ 8 ของประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการป้องกันมิให้มีการกระทำอันผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 ให้มีการถือครองธุรกิจในประเภทเดียวกัน รวมถึงมีคำสั่งให้กระทำการ หรืองดเว้นกระทำการอันอาจเป็นการผูกขาด หรือลด หรือจำกัดการแข่งขันได้ และศาลปกครองกลางก็ได้มีคำวินิจฉัย หรือคำสั่งรับรองอำนาจดังกล่าวของ กสทช.ด้วย

“อยากเรียนท่านประธาน และกรรมการ กสทช. และท่านรักษาการเลขาธิการ ขอให้ทบทวนมติการประชุมพิเศษวาระเรื่องนี้ใหม่อีกครั้ง เพื่อทำมติให้ชัดเจน ครบถ้วน โปร่งใส และเป็นไปตามกฎหมายมากกว่านี้” สุภิญญาทิ้งท้าย