เถ้าแก่น้อย กางแผนปี 2567 โฟกัสปลุกยอดขาย 3 ตลาดใหญ่ อินโดนีเซีย จีน สหรัฐ รับมือต้นทุนวัตถุดิบ-ค่าแรงพุ่ง ส่วนในไทยเร่งเปิดตัวสินค้าใหม่ รับท่องเที่ยวฟื้น พร้อมตั้งเป้ายอดขายปี 2567 โต 15%
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) เผยแนวโน้มตลาดสาหร่ายและทิศทางธุรกิจว่าปี 2567 นี้ธุรกิจมีทั้งปัจจัยบวกและความท้าทายหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นราคาสาหร่ายมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นกว่าปี 2566 และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเติบโตช้าลง อย่างไรก็ตามยังมีโอกาสจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในไทย และการบริโภคสาหร่ายเพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกา
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
สำหรับบริษัทในปี 2567 นี้ จะโฟกัสการทำตลาดใน 3 ตลาดใหญ่นอกประเทศ คือ อินโดนีเซีย จีน และสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับตลาดในประเทศไทย ซึ่งแต่ละตลาดจะใช้ยุทธศาสตร์ที่แตกต่างกัน เริ่มจากการขึ้นราคาสินค้าและปรับไซซ์ในตลาดต่างประเทศบางตลาด เช่น จีน เพื่อรองรับราคาวัตถุดิบที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
ส่วนในตลาดจีนที่สร้างยอดขายถึง 25% ของยอดรวมบริษัทนั้น จะมุ่งขยายช่องทางขายให้กว้างและเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ควบคู่กับการส่งเสริมการขาย เพื่อใช้ประโยชน์จากขนาดตลาดที่ใหญ่ และรับมือเศรษฐกิจจีนซึ่งมีแนวโน้มเติบโตช้าลง ตามเป้าสร้างการเติบโตของยอดขายอีก 15%
ด้านตลาดอินโดนีเซีย บริษัทเปลี่ยนตัวผู้จัดจำหน่ายใหม่ เป็นรายที่มีศักยภาพกระจายสินค้าได้กว้างขึ้น ทำให้ในปี 2567 นี้ วางเป้าการเติบโตในประเทศอินโดนีเซียไว้ที่มากกว่า 30%
ตลาดสหรัฐอเมริกาและแคนาดานั้น เชื่อว่าการบริโภคสาหร่ายที่เพิ่มขึ้นและการขยายช่องทางจัดจำหน่ายให้กว้างขึ้นจะสามารถเอาชนะสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่มีแนวโนมชะลอตัวลงได้ จึงวางเป้าการเติบโตมากกว่า 15%
ในส่วนของประเทศไทย จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดการณ์ว่าจะมีถึง 33 ล้านคน เป็นปัจจัยบวกที่จะสร้างการเติบโต บริษัทจึงวางแผนเดินหน้าเปิดตัวสินค้าใหม่ ด้วยรสขาติที่อยู่ในกระแสนิยม และกระจายสินค้าให้มากขึ้นเพื่อผลักดันการบริโภคในประเทศ
ทั้งนี้ในภาพรวมบริษัทวางแผนการเติบโตของยอดขายในปี 2567 ไว้ที่ 15% จากปี 2566 โดยตัวเลขนี้จะต่ำกว่าปี 2565 และ 2566 ที่บริษัทเติบโต 20.9% และ 21.9% ตามลำดับ เนื่องจากความท้าทายด้านต้นทุนราคาสาหร่ายและวัตถุดิบหลักอื่น ๆ รวมถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปี 2567 นี้