ฮอนด้า พร้อมขึ้นไลน์ผลิตอีวี ลั่นทุบแบรนด์จีนดันยอดทั้งปีทะลุแสนคัน

ฮอนด้า e:NS1 ELECTRIC

ฮอนด้า พร้อมส่งรถยนต์ไฟฟ้า e:NS1 ELECTRIC ทำตลาดครึ่งปีหลัง ประกาศขึ้นไลน์ผลิตที่โรงงานปราจีนบุรี โหมทำตลาดควบคู่ไปกับกลุ่มรถไฮบริด มั่นใจช่วยดันยอดขายกลับมาทะลุแสนคันต่อปีอีกครั้งในรอบ 3 ปี

แหล่งข่าวจากบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงแผนการดำเนินธุรกิจของฮอนด้าในปีนี้ว่า บริษัทเตรียมแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ (นิวโมเดล) ออกสู่ตลาด ในปี 2566 อย่างน้อย 2-3 รุ่น โดยจะมีเซ็กเมนต์ใหม่ ๆ เพื่อแนะนำให้ลูกค้าชาวไทยได้สัมผัสคาดว่าจะเปิดเผยรายละเอียดได้เร็ว ๆ นี้ว่าเป็นโมเดลใดบ้าง

แต่ที่แน่ ๆ คือฮอนด้าพร้อมขึ้นไลน์ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่โรงงานประกอบ รถยนต์ฮอนด้า สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดปราจีนบุรี หลังจากบริษัทได้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนไปก่อนหน้านี้ ซึ่งตามแผนงานฮอนด้าจะเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% ออกสู่ตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นดังกล่าวยังเข้าร่วมมาตรการส่งเสริมการใช้รถอีวี ซึ่งกรมสรรพสามิตให้เงินอุดหนุนผู้ซื้อคันละ 150,000 บาท และลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% ด้วย

สำหรับแผนการนำรถยนต์ไฟฟ้าออกสู่ตลาดประเทศไทยนั้น ถือว่าเป็นไปตามแผนธุรกิจของบริษัท หลังจากที่บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้ขอส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2561 เพื่อขยายกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม (hybrid electric vehicles-HEV) และแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เงินลงทุนทั้งสิ้น 5,821 ล้านบาท และบริษัทมีแผนใช้วัตถุดิบภายในประเทศ เช่น ล้อรถยนต์ ชิ้นส่วนตัวถังรถยนต์ กันชนหน้า/หลัง ชุดสายไฟ เป็นต้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,766 ล้านบาท รวมทั้งยังมีแผนในการผลิตชิ้นส่วนอื่นภายในประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนการนำเข้าในอนาคต

แหล่งข่าวยังกล่าวต่อไปว่า ฮอนด้ามีความมั่นใจว่าในช่วงครึ่งปีหลังปี 2566 ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยจะมีความพร้อมมากขึ้น โดยเฉพาะสถานีชาร์จไฟฟ้าที่กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ จะทำให้ลูกค้า ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าของฮอนด้า
มีความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ต่าง ๆ

“รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้จะถูกผลิตขึ้นที่โรงงานปราจีนบุรี และฮอนด้าเชื่อว่าน่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าชาวไทย ซึ่งเมื่อช่วงปลายปี 2565 ที่ผ่านมาในงาน
มหกรรมยานยนต์ หรือมอเตอร์เอ็กซ์โป เราได้นำรถยนต์โปรโตไทป์ หรือรถต้นแบบไฟฟ้ามาจัดแสดง ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก บวกกับรถที่จะเปิดตัวนั้นผลิตในประเทศไทย ทำให้เราน่าจะสามารถทำราคาออกมาได้ดี และยังได้รับเงินสนับสนุนจากสรรพสามิตด้วย แข่งขันกับแบรนด์จีนได้สบายๆ”

ส่วนสำหรับเป้าหมายยอดขายของฮอนด้าในปี 2566 นั้น บริษัทตั้งเป้าว่าปีนี้จะเป็นปีแรกในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2563 ที่ฮอนด้ามียอดขายที่ 93,041 คัน ส่วนปี 2564 มียอดขายที่ 88,692 คัน และล่าสุดในปี 2565 ยอดขายโดยประมาณอยู่ที่ 83,000 คัน ดังนั้นปี 2566 นี้ บริษัทตั้งเป้าจะต้องกลับมามียอดขายที่ระดับ 100,000 คัน เพื่อกลับไปใกล้เคียงในช่วงก่อนหน้านี้ที่ฮอนด้า และอุตสาหกรรมยานยนต์จะเผชิญวิกฤต โดยปี 2562 ฮอนด้า มียอดขายที่ 125,833 คัน

“ที่เรามั่นใจว่าจะกลับไปมียอดขายแตะระดับ 100,000 คันนั้นเป็นผลมาจากสถานการณ์ของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และสถานการณ์การผลิต ปัญหาเซมิคอนดักเตอร์มีความเบาบางลงไป”

สำหรับสัดส่วนยอดขายหลัก ๆ ของฮอนด้านั้นจะยังคงเป็นรถยนต์ในกลุ่ม e:HEV (ไฮบริด) เป็นหลัก ส่วนรถยนต์ไฟฟ้านั้น ในช่วง 1-2 ปีแรก น่าจะเป็นสัดส่วนที่ยังไม่สูงมากนัก

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ ฮอนด้าได้มีการเข้าไปหารือร่วมกับกรมสรรพสามิต ในเรื่องของการขอรับการสนับสนุนด้านภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างรอเวลาและการเตรียมเอกสารรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อเข้าไปทำเอ็มโอยูร่วมกัน

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่คาดว่า ฮอนด้าจะนำเข้ามาผลิตเพื่อจำหน่ายนั้น มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นรถยนต์เอสยูวีรุ่นฮอนด้า e:NS1 ELECTRIC ที่มีการเปิดตัวและทำตลาดในจีนไปเมื่อช่วงเดือนเมษายน 2565 ที่ผ่านมา และรถรุ่นดังกล่าวถือว่ามีความใกล้เคียงกับ รถยนต์ HR-V e:HEV จากสเป็กที่ทำตลาดในจีนนั้น ฮอนด้า e:NS1 ELECTRIC ที่ทำตลาดในจีน มีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 182 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ขนาด 53.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง เป็นแบบ Ternary Lithium ระยะทางขับขี่ไกลสุดประมาณ 420 กิโลเมตร

รุ่นใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร เพิ่มขนาดแบตเตอรี่เป็น 68.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง วิ่งได้ระยะทางไกลสุด 510 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง อัดแน่นด้วยระบบความปลอดภัย Honda SENSING 360 โดยมี 4 รุ่นย่อยให้เลือกส่วนราคาจำหน่ายในจีนนั้นขายอยู่ราว 920,000-1.15 ล้านบาท