“ไมเนอร์” ชี้โรงแรมฟื้นยกแผง ทุ่ม 1.5 หมื่นล้านลงทุนเพิ่มใน 3 ปีข้างหน้า

ไมเนอร์

“ไมเนอร์ อินเตอร์แนชั่นแนล” เผยธุรกิจโรงแรมทั้งในประเทศ-ต่างประเทศฟื้นตัวดี รายได้เฉลี่ยต่อห้องกลับมาใกล้เคียงก่อนโควิดแล้ว “มัลดีฟส์” มีผลการดำเนินงานดีที่สุด ส่วนในไทยได้อานิสงส์นักท่องเที่ยวชาวอินเดีย รัสเซีย ยุโรป หนุนโรงแรมในภูเก็ตโตแข็งแกร่ง เตรียมงบฯลงทุนอีก 1-1.5 หมื่นล้านลงทุนโรงแรมใน 3 ปีข้างหน้า

นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์แนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา ธุรกิจโรงแรมของกลุ่มไมเนอร์ทั้งในและต่างประเทศฟื้นตัวดีขึ้น รายได้เฉลี่ยต่อห้องแต่ละช่วง เวลา (RevPar) ของโรงแรมในหลายภูมิภาคใกล้เคียงกับก่อนโควิด-19 แล้ว

โดยปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ดีที่สุดของโรงแรมในออสเตรเลีย ราคาห้องพักเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ภูมิภาคยุโรปนั้นแม้ต้องเผชิญกับปัญหาราคาพลังงานรวมถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่โรงแรมก็เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว ลูกค้าเริ่มกลับเข้าใช้บริการบ้างแล้ว

ชี้โรงแรมภูมิภาคเอเชียสดใส

นายดิลลิปกล่าวว่า ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวในประเทศแถบตะวันออกกลางฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากภูมิภาคดังกล่าวเป็นศูนย์กลางของธุรกิจการบิน เมื่อสายการบินในประเทศเหล่านั้นกลับมาให้บริการอย่างรวดเร็ว ทำให้โรงแรมได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาส่วนใหญ่มาจากรัสเซีย ยุโรป และอินเดีย

ขณะที่โรงแรมในมัลดีฟส์มีผลการดำเนินงานดีที่สุด แซงหน้าก่อนการระบาดโควิด-19 ในปี 2562 ไปแล้ว ส่วนธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยพบว่าได้รับอานิสงส์จากนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย รัสเซีย ยุโรป ที่เดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยโรงแรมในพื้นที่ภูเก็ตมีสัญญาณบวกที่แข็งแกร่ง

“ธุรกิจโรงแรมในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มไปในทิศทางบวก โดยเฉพาะในประเทศไทย การเปิดประเทศของจีนช่วยเสริมปัจจัยบวกเข้าไป อย่างไรก็ตาม แม้ความต้องการการออกเดินทางยังมีคั่งค้างอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ปัญหาการขาดแคลนเที่ยวบินยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการออกเดินทางท่องเที่ยว”

ธุรกิจอาหาร-ไลฟ์สไตล์โตแรง

นายดิลลิปกล่าวด้วยว่า ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจอาหารเพิ่มขึ้นราว 30% ในส่วนของประเทศจีนพบว่า แม้ก่อนหน้านี้จะมีการคงมาตรการควบคุมโควิด-19 อยู่ แต่เมื่อทางการผ่อนคลาย ชาวจีนก็กลับมาใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

อีกทั้งหลังการผ่อนคลายมาตรการครั้งใหญ่ของหลายประเทศ ประเมินว่าธุรกิจอาจฟื้นตัวต่อไปอีก และประชาชนก็เริ่มรับประทานอาหารในร้านมากขึ้น ทั้งนี้ ประเมินว่ารายได้ของธุรกิจอาหารของทั้งปี 2565 จะเป็นไปในทิศทางแข็งแกร่ง

ขณะที่กลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์พบว่าปี 2565 มีแนวโน้มแข็งแกร่งกว่าปีก่อนหน้า โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ยุติการทำตลาดแบรนด์ที่ไม่สร้างกำไร พร้อมกันนี้ยังให้ความสำคัญกับการขายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น

เน้นปรับตัวเร็ว-คล่องตัว

นายดิลลิปกล่าวอีกว่า บริษัทมีแนวทางการดำเนินกิจการที่เน้นปรับตัวต่อสถานการณ์อย่างรวดเร็ว มีความคล่องตัวในการแก้ไขปัญหา อีกทั้งบริษัทได้ผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายมาหลายครั้ง เช่น โรคระบาด การรัฐประหาร ฯลฯ ทำให้บริษัทมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น

สำหรับราคาสินค้าและราคาพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น บริษัทได้จัดทำการประกันความเสี่ยงด้านราคาล่วงหน้า ทำให้สามารถล็อกราคาต้นทุนบางส่วนไว้ได้ จึงไม่ได้รับผลกระทบต่อราคาสินค้าบางประเภทที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก

ตั้งเป้ารายได้โต 12-15% ต่อปี

สำหรับปี 2566 นี้ นายดิลลิปกล่าวว่า บริษัทวางกลยุทธ์มุ่งสู่การ “กลับสู่การเติบโต” หรือ Back to growth โดยตั้งเป้ามีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 20% จากปี 2565 โดยปัจจัยบวกที่สำคัญคือ ประเทศจีนประกาศผ่อนคลายมาตรการด้านสาธารณสุข และนักท่องเที่ยวจีนเริ่มออกเดินทาง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ ส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจของบริษัท

โดยบริษัทมุ่งใช้กลยุทธ์เร่งการเติบโต 6 ด้าน คือ 1.การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและขยายพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง 2.การเพิ่มประสิทธิภาพและอัตราการทำกำไร 3.การขยายการลงทุน ร่วมมือกับพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง 4.Digital Transformation 5.การพัฒนาบุคลากร และ 6.การพัฒนาอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายมีอัตราการเติบโตของรายได้หลัก ไม่น้อยกว่า 12-15% ต่อปี มีอัตราผลตอบแทนการลงทุน ไม่น้อยกว่า 10% และผลกำไรสุทธิที่มาจากการดำเนินงาน และตั้งเป้าการเติบโตไม่ต่ำกว่าสองหลัก

อัด 1.5 หมื่นล้านลงทุนโรงแรม

โดยบริษัทตั้งงบฯลงทุนในช่วง 3 ปีข้างหน้าไว้ที่ 1-1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อลงทุนบริษัทในเครือโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม ซึ่งไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นการลงทุนในประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น

“เรามีแผนพัฒนาโรงแรม 70 แห่งในอนาคต โดยโรงแรมส่วนใหญ่เป็นรูปแบบการบริหารตามสัญญา หรือ management contract ทำให้ใช้เงินลงทุนไม่สูง เช่น เรซิเดนท์ อนันตรา สยาม, ลงนามโรงแรมในประเทศจีนไปแล้ว 10 แห่ง, การลงนามบริหารตามสัญญากับทางการซาอุดีอาระเบีย ฯลฯ ซึ่งในอนาคตบริษัทอาจพิจารณาเปิดโรงแรมแห่งใหม่ในประเทศซาอุดีอาระเบีย

ส่วนธุรกิจเวลเนสของบริษัท เช่น BDMS Wellness Clinic Retreat อนันตรา ริเวอร์ไซด์, VIVID Wellness Clinic อนันตรา สยาม, VLCC @ อวานี+ หัวหิน พบว่ามีผลการดำเนินงานที่ดี

ปรับขึ้นราคาห้องพักตามต้นทุน

นายดิลลิปกล่าวอีกว่า ปัจจุบันโรงแรมของบริษัทในหลายพื้นที่ปรับราคาห้องพักขึ้นตามต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นได้แล้ว และมองว่าราคาห้องพักปัจจุบันยังมีช่องว่างให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก

“การเพิ่ม ADR หรืออัตราเฉลี่ยราคาห้องพักต้องดูดีมานด์ พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ปัจจัยเสี่ยงแต่ละแห่งว่าเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม ราคาห้องควรครอบคลุมต้นทุนที่เพิ่มขึ้นด้วย”

ออกหุ้นกู้สู้ดอกเบี้ยแพง

ด้านนายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT กล่าวว่า บริษัทได้รักษาสภาพคล่องให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และตั้งเป้าลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) จาก 1.36 ในปี 2564 เป็น 1.19 ในไตรมาสที่ 3/2565 และตั้งเป้าลดอัตราส่วนดังกล่าวลงไปอีก

โดยปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดประมาณ 23,000 ล้านบาท และมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารที่รอเบิกอยู่ประมาณ 30,000 ล้านบาท รวมเป็นประมาณ 50,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนชุดใหม่ ครั้งที่ 1/2566 โดยบริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด เปิดจองซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิชุดใหม่ประชาชนทั่วไปวันที่ 7-9 กุมภาพันธ์นี้ ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำทั่วประเทศ