
จีดีพีเวียดนามไตรมาส 2 โต 4.14% หลังจากที่โตเพียง 3.3% ในไตรมาสแรก ถือว่าโตน้อยกว่ามาตรฐานติดต่อกันสองไตรมาส ส่งผลให้การจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าปีนี้จะโต 6.5% นั้นเป็นเรื่องยาก
วันที่ 29 มิถุนายน 2566 ทางการเวียดนาม เปิดเผยประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ปี 2566 อย่างเป็นทางการ โดยประมาณการว่าจีดีพีเวียดนามเติบโต 4.14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY) แม้จะเติบโตในอัตราที่เร่งตัวขึ้นจาก ไตรมาสแรกที่โต 3.3% แต่ก็ยังคงช้ากว่ามาตรฐานการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามในอดีต และส่งผลให้มีแนวโน้มว่าเวียดนามจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ที่รัฐบางเวียดนามตั้งเป้าโต 6.5%
เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย ก่อนเกิดโควิด-19 จีดีพีเติบโตปีละ 6%-7% และในปี 2565 ก็ฟื้นตัวจากโควิดด้วยอัตราการเติบโต 8.8% แต่ในปีนี้ การขยายตัวของจีดีพีเวียดนามชะลอตัวลง เนื่องจากความต้องการซื้อสินค้าเวียดนามจากต่างประเทศตกต่ำลง
เมื่อดูแยกเป็นรายภาคอุตสาหกรรม จีดีพีภาคการเกษตร ป่าไม้ และการประมงขยายตัว 3.25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY) ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้างขยายตัว 2.5% ส่วนภาคบริการขยายตัวมากที่สุด 6.11% ได้แรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนมิถุนายนสูงถึงประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 4 เท่าจากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY) และคิดเป็นประมาณ 70% ของระดับก่อนเกิดโควิด-19
ภาคการส่งออกในเดือนมิถุนายนคาดว่าจะต่ำกว่าปีก่อนหน้าถึง 11.4% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากยอดขายสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ลดลงทั่วโลก นอกจากนี้ ปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ซึ่งมีฐานการผลิตของซัมซุง (Samsung Electronics) และอีกหลายบริษัท ทำให้ผลผลิตชะลอตัวลง
ในการประชุมสภาแห่งชาติที่สิ้นสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สมาชิกรัฐสภาเวียดนามแสดงความกังวลว่าเวียดนามจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตของจีดีพีที่ตั้งไว้ 6.5% โดยกล่าวถึงเหตุผลเรื่องการผลิตและการส่งออกที่ติดลบ บริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากกำลังต้องขายสินทรัพย์ในราคาต่ำหรือขายกิจการ เพื่อลดปัญหากระแสเงินสด คงการผลิตเอาไว้ และยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปได้
เหงียนจิดุ่ง (Nguyen Chi Dung) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุนของเวียดนามกล่าวในที่ประชุมสภาแห่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ด้วยการเติบโตที่น่าผิดหวังในไตรมาสแรกที่โตเพียง 3.3% จีดีพีเวียดนามจะต้องเติบโตเฉลี่ยประมาณ 7.5% ในทุก ๆ ไตรมาสของปีนี้ รวมถึงไตรมาสปัจจุบันด้วยจึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ซึ่ง “เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่”
ด้วยการเติบโตที่ต่ำสองไตรมาสติด ผู้กำหนดนโยบายของเวียดนามจึงใช้นโยบายสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยธนาคารกลางกลางเวียดนามได้ลดอัตราดอกเบี้ยลง และรัฐบาลลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ลงจาก 10% เหลือ 8% เป็นเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางธุรกิจและการบริโภค