ฆาตกัญชา

คอลัมน์ : สามัญสำนึก
ผู้เขียน : สันติ จิรพรพนิต

เป็นประเด็นเดือดปุด ๆ มาตลอดหลังประเทศไทยปลดล็อก “กัญชา” พ้นจากบัญชียาเสพติด

ช่วงแรกเหมือนจะดีเพราะเน้นให้ใช้ในทางการแพทย์ รวมถึงหน่วยงานรัฐออกมาเทกแอ็กชั่นสนับสนุนอย่างกว้างขวาง ไม่เว้นแม้กระทรวงยุติธรรม ที่สั่งปล่อยตัวผู้ต้องหาคดีกัญชาทั้งหมด

ขณะที่ภาคธุรกิจออกผลิตภัณฑ์อาหาร-เครื่องดื่มผสมกัญชามาแชร์ส่วนแบ่งการตลาดและสร้างสีสันไปในตัว

เพราะตามข้อเท็จจริงเครื่องดื่ม-อาหารผสมกัญชา ส่วนใหญ่เป็นเพียงส่วนย่อยของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด เรียกว่าออกมาเพื่อเกาะกระแสเท่านั้น เพราะในทางการตลาดแล้วมีสัดส่วนการขายที่น้อยถึงน้อยมาก

อย่างไรก็ตาม ผ่านไปไม่กี่วันเริ่มมีกระแสตีกลับเรื่องความปลอดภัย ที่บรรดาแพทย์หรือนักวิชาการออกมาบอกแต่ข้อเสียของกัญชา

ด้วยยังไม่มีกฎหมายลูก หรือ พ.ร.บ.กัญชา ตามออกมาหลังปลดล็อก ทำให้เกิดความลักลั่นและสับสนอย่างมากว่าสิ่งใดทำได้ ทำไม่ได้

การใช้กัญชาแบบใดถึงไม่มีปัญหาและผิดกฎหมาย

เพราะแต่ละหน่วยงานทั้งสาธารณสุข หรือผู้บังคับใช้กฎหมาย ทำได้เพียงนำกฎระเบียบที่มีอยู่มาเทียบเคียง หรือออกกฎกระทรวงมาบังคับใช้

ทั้งข่มขู่ว่ามีความผิดหากทำผิดระเบียบ กรณีนำกัญชาไปผสมอาหาร-เครื่องดื่ม

การคาดโทษเกี่ยวกับกัญชา หากเป็นผู้ผลิตรายใหญ่คงไม่กระไรนัก เพราะมีกระบวนการตรวจสอบเข้มงวด

แต่สำหรับกลุ่มเอสเอ็มอีหรือร้านค้าทั่ว ๆ ไป ยังน่าสงสัยอยู่ว่าทำได้ตามระเบียบเป๊ะ ๆ หรือไม่

จนอาจเป็นช่องโหว่ให้เจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนหาผลประโยชน์ เพราะยังไม่มีกรอบชัดเจน

แม้ต้นทางการปลดล็อกกัญชามุ่งเป้าเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ หรือเป็นพืชเศรษฐกิจ เพราะกัญชาเป็นที่ยอมรับและแพร่หลายในประเทศต่าง ๆ มานานแล้ว ทั้งราคาจำหน่ายค่อนข้างสูง

แต่เพราะการปลดล็อกครั้งนี้เหมือนเตรียมพร้อมล่วงหน้าไม่มากพอ เพราะนอกจากไม่มีกฎหมายลูกรองรับ ยังให้ความรู้เรื่องคุณและโทษของกัญชาไม่แพร่หลายมากนัก

จึงไม่แปลกที่เมื่อบรรดากลุ่มไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ โดยเฉพาะแพทย์ที่คนส่วนใหญ่เชื่อถืออยู่แล้ว ออกมาซัดโครม ๆ ถึงโทษของกัญชาเพียงด้านเดียว ทำให้ผู้คนพากันตื่นตระหนก

เจอดาบสองจากโรงเรียน โรงพยาบาล ประกาศห้ามขายสินค้าที่มีส่วนผสมกัญชาในพื้นที่ จึงยิ่งตกอกตกใจไปกันใหญ่

สินค้าจำนวนมากยกเลิกการผลิต หรืองดจำหน่าย

“ตู้เต่าบิน” ที่ตามกระแสนำเครื่องดื่มผสมกัญชามาเป็นตัวเลือก ตัดสินใจถอดออกจากตู้ทันที

ขณะที่ฝ่ายเห็นด้วยกับการปลดล็อกดูเหมือนเสียงจะเบาบาง แทบไม่มีใครออกมาบอกถึงประโยชน์ของกัญชาเหมือนก่อนหน้าปลดล็อกเลย

การไม่ได้เตรียมพร้อมรอบด้านทำให้เกิดปัญหาไม่หยุดหย่อน ต้องตามล้อมคอกกันภายหลัง และยังสร้างความสับสนให้ประชาชนและภาคธุรกิจ

ที่น่าเสียดายคือ “กัญชง” พลอยโดนลูกหลงไปด้วย ทั้งที่เป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ด้านการแพทย์อย่างมาก แถมมีโทษน้อยยิ่งกว่าน้อย

แต่เพราะถูกเรียกควบคู่ “กัญชง-กัญชา” อาจทำให้คนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงเพียงพอ พลอยหวาดกลัวไปด้วย

จริง ๆ แล้วคนไทยคุ้นเคยกับกัญชามาเนิ่นนาน ยาแผนโบราณของไทยจำนวนไม่น้อยมีส่วนผสมของกัญชา เพราะมีสรรพคุณผ่อนคลายจิตใจและอารมณ์ รวมถึงช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากถูกจัดให้เป็นยาเสพติด เพราะใช้ในทางสันทนาการมากกว่าทางการแพทย์ จึงถูกกล่าวถึงแต่โทษ

ทั้ง ๆ ที่หากกัญชาไม่มีคุณประโยชน์ ครม.ชุดปัจจุบันจะทำให้ถูกกฎหมายทำไม

เดชะบุญที่กัญชามาปลดล็อกในรัฐบาลชุดนี้ ที่มีผู้นำชื่อ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา”

หากเป็นรัฐบาลชุดอื่นอาจโดนไล่ทุบ ไล่ถอง น่วมยิ่งกว่านี้ หรือถึงขั้นใช้กระบวนการทางกฎหมาย

นึกภาพได้ไม่ยากเลยว่า “นายกรัฐมนตรี” ในฐานะผู้นำ ครม.ที่มีมติเห็นชอบ จะโดนอะไรบ้าง ?