Care the Wild จับมือเอกชน ปลูกป่าสู้วิกฤตโลกร้อน

ปลูกป่า

ด้วยปัจจัยสภาพแวดล้อมในโลกธุรกิจ และการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จึงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภาคตลาดทุน นอกจากจะต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ในการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังต้องมุ่งมั่นยกระดับการดำเนินงานด้าน ESG ของบริษัทจดทะเบียน โดยนำเสนอบริการด้านความรู้ที่หลากหลาย เช่น หลักสูตรอบรม สัมมนา คู่มือ แนวปฏิบัติ การประเมินผลการดำเนินงานด้าน ESG คลังความรู้ และการให้คำปรึกษาเชิงลึกในประเด็นต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนมีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถพัฒนาผลการดำเนินงานด้าน ESG อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลเช่นนี้จึงทำให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยดำเนินโครงการ “Climate Change Climate Care Collaboration : รวมพลังบวกกู้วิกฤตโลกร้อน” ด้วยการเชิญชวนภาคธุรกิจมาสร้างความสมดุลให้แก่โลก และพร้อมช่วยกันแก้ปัญหาวิกฤตโลกร้อนขณะนี้ ผ่าน 3 โครงการย่อย ได้แก่

หนึ่ง Care the Bear : Change the Climate Change ส่งเสริมบริษัทจดทะเบียนลดสภาวะโลกร้อนด้วยการลดก๊าซเรือนกระจกจากการจัดกิจกรรมหรืออีเวนต์

สอง Care the Whale : ขยะล่องหน เพื่อขับเคลื่อนการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยมีพันธมิตรและเครือข่ายกว่า 30 องค์กร ประกอบด้วยผู้ประกอบการบนพื้นที่ถนนรัชดาภิเษก 14 แห่ง รวมถึงผู้ประกอบการทางสังคม องค์กรพันธมิตรในธุรกิจด้าน Circular Economy และหน่วยงานภาครัฐอีกหลายแห่ง

สาม Care the Wild : ปลูกป้อง Plant & Protect ถือเป็น Collaboration Platform ที่เป็นกลไกเพื่อการระดมทุน เพื่อการปลูกต้นไม้ใหม่ ปลูกต้นไม้เสริม และส่งเสริมการดูแลต้นไม้ โดยผ่านภาคีองค์กรเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน

ทั้ง 3 โครงการมีการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2565 ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าโครงการ Care the Wild ร่วมกับสำนักจัดการป่าชุมชน กรมป่าไม้ และภาคเอกชน ลงพื้นที่ปลูกป่าใน 2 แห่ง คือ ป่าชุมชนตำบลสหกรณ์นิคม อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี และป่าชุมชนบ้านหลังเขา อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี

“ประลอง ดำรงค์ไทย” อดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ทรงคุณวุฒิของคณะทำงานพิจารณาพื้นที่ปลูกป่า โครงการ Care the Wild กล่าวว่า โครงการนี้ดำเนินการมาแล้ว 2-3 ปี เนื่องจากวิกฤตโลกร้อนทวีความรุนแรงมากขึ้น หนึ่งในแนวทางที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ดีคือ การช่วยกันเพิ่มพื้นที่ป่า ปลูกต้นไม้ เพราะตราบใดที่เรายังลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อันเป็นส่วนหนึ่งของก๊าซเรือนกระจกไม่ได้ เราจึงต้องนำต้นไม้มาช่วยดูดซับ

“โดยเป้าหมายของโครงการจะต้องปลูกต้นไม้ให้รอด 100% โดยที่ภาคเอกชนปลูกกับชุมชน และชุมชนเป็นผู้ดูแล อีกเป้าหมายหนึ่งคือการให้ชุมชนได้ประโยชน์จากป่า เพราะต้นไม้ที่เรานำมาปลูกส่วนใหญ่จะเป็นไม้ยืนต้น แต่อีก 20-30% เป็นไม้ผล หรือต้นไม้ที่ให้ผลผลิตได้ เพราะเมื่อไม้เหล่านี้เติบโตขึ้นไป จะกลายเป็นทรัพยากรอาหารที่ชุมชนสามารถเข้ามาเก็บของป่าเพื่อใช้บริโภคตามวิถีชีวิตที่สืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น”

โครงการเริ่มปลูกป่าปีนี้ที่ชุมชนตำบลสหกรณ์นิคม อ.ทองผาภูมิ เป็นแห่งแรก โดยร่วมกับ บริษัท โกลบอลกรีน เคมิคอล จํากัด (มหาชน) หรือ GGC ผู้บุกเบิกด้านผลิตภัณฑ์โอลีโอเคมี (ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพจากน้ำมันพืชหรือไขมันสัตว์) ด้วยการปลูกต้นไม้ 4,000 ต้น บนผืนป่าชุมชนเนื้อที่กว่า 20 ไร่

“วโรภาส กิมชูวาณิช” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพาณิชยกิจ บริษัท โกลบอลกรีน เคมิคอล จํากัด (มหาชน) หรือ GGC กล่าวว่า ภาคเอกชนในอดีตผ่านมามุ่งเน้นแต่มิติด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก อาจละเลยมิติด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่วันนี้เราต่างตระหนักว่าการทำธุรกิจแบบเดิม ๆ มุ่งเน้นแต่กำไรไม่ตอบโจทย์และไม่ยั่งยืน เพราะทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังจะเห็นว่าบางครั้ง ใน 1 วันมีถึง 4 ฤดู ซึ่งโลกกำลังบอกว่าเรามาอยู่ในจุดวิกฤตแล้ว ฉะนั้นภาคเอกชนจึงต้องหันกลับมามองที่การพัฒนาแบบยั่งยืนมากขึ้น คือมุ่งเน้นความสำคัญกับผลกระทบต่อโลกทั้งภายในและนอกองค์กร

วโรภาส กิมชูวาณิช

“สำหรับป่าชุมชนตำบลสหกรณ์นิคมเป็นแหล่งท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่ในพื้นที่แหล่งต้นน้ำชุมชนห้วยดินโส มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น หญ้าถอดปล้อง 400 ล้านปี, ปูร้อยสี, จักจั่นงวงช้าง, ต้นไทรขนาดใหญ่, ดงตาว, ดงจันทน์ผา และสัตว์ป่ามากมาย การปลูกป่าจะช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ เพื่อรองรับแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ที่สร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน”

“กระทั่งต่อมามีการลงพื้นที่ปลูกต้นไม้เพิ่มอีกจำนวน 20 ไร่ ที่ป่าชุมชนบ้านหลังเขา อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี โดยร่วมกับบริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย โดยเริ่มปลูกในปีนี้ 10 ไร่ และจะปลูกต่อเนื่องอีก 10 ไร่ ในปีหน้า”

“วุฒิ วิพันธ์พงษ์” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอสแซทไวท์ กล่าวว่า แอสเซทไวส์ดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย เพราะเราตระหนักและให้ความสำคัญถึงการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงการสร้างคุณค่าใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ, ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม บนพื้นฐานของการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนให้แก่บริษัท

สำหรับด้านสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญที่บริษัทดำเนินการอยู่แล้ว ตั้งแต่ในธุรกิจของเรา โดยเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัยที่เน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี มีการปลูกต้นไม้ แต่ทั้งนั้นยังมองว่าไม่เพียงพอ เราจึงต้องดำเนินการมากขึ้นเพราะเรามีโลกใบเดียว

“แต่การเลือกปลูกป่าก็ต้องมีการคัดสรรอยู่พอสมควร แต่เมื่อมาเจอชุมชนบ้านหลังเขา จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นชุมชนอยู่ในภาคกลาง ใกล้กับกรุงเทพฯ อีกทั้งยังเป็นชุมชนที่มีความเข้มแข็ง ชาวบ้านมีการดูแลป่าอยู่แล้ว มีผู้นำเป็นพระอาจารย์ ซึ่งโดยส่วนตัวผมค่อนข้างเชื่อว่าชุมชนที่มีพระสงฆ์เป็นผู้นำ หรือเป็นศูนย์รวมจิตใจจะเป็นชุมชนที่เข้มแข็งพอสมควร”

จึงทำให้ภารกิจทุกอย่างเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์