ไทยออยล์ ชูกลยุทธ์ ESG องค์กร 100 ปี อย่างยั่งยืน

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบธรรมาภิบาล ควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (ESG) มาโดยตลอด ซึ่งนอกจากจะทำธุรกิจให้ยั่งยืนมาตลอด 61 ปีแล้ว ยังจะนำพาธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีให้เติบโตไปจนถึงอีก 100 ปีข้างหน้า

ไทยออยล์วางเป้าหมายว่า ภายในปี 2603 จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ร้อยละ 25% เป้าหมายของไทยออยล์เสมือนการยิงปืนนัดเดียวแต่ได้นกถึง 2 ตัว คือการนำเรื่องสิ่งแวดล้อมมาเป็นตัวตั้ง แล้วต่อยอดการผลิตพลังงานสะอาด เพื่อให้ทันกับเทรนด์ของโลก ที่มุ่งหน้าสู่พลังงานสีเขียว อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจไทยในเวทีโลกอีกด้วย

วิโรจน์ มีนะพันธ์
วิโรจน์ มีนะพันธ์

“วิโรจน์ มีนะพันธ์” รองกรรมการผู้จัดการด้านกำกับองค์กร และกิจการสัมพันธ์ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การมุ่งทำธุรกิจเพื่อผลกำไรอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ไทยออยล์บรรลุความสำเร็จทางธุรกิจได้ แต่ต้องดูแลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อนำพาบริษัทในกลุ่มและคู่ค้าของไทยออยล์ให้มีความพร้อมในการเติบโตร่วมกันในระยะยาวอย่างยั่งยืน

ESG เป็นพื้นฐานสำคัญครอบคลุมทุก ๆ กลยุทธ์ในการขับเคลื่อนองค์กรไทยออยล์ รวมถึงกิจกรรมดูแลสังคม ในมิติสิ่งแวดล้อม ไทยออยล์จึงกำหนดแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อเข้าสู่ net zero ในปี 2603 และมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลขับเคลื่อนการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตรงนี้ถือเป็นโจทย์ท้าทายอย่างมากในฐานะผู้ผลิตน้ำมัน เพราะเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้โลกร้อนมากขึ้นด้วย

ทั้งนั้น การจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ไทยออยล์จะต้องมีองค์ประกอบ 3 ด้าน ประกอบกันคือ

หนึ่ง การใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า (energy efficiency) ต้องปรับปรุงเครื่องจักรอุปกรณ์ต่าง ๆ ในโรงกลั่นน้ำมันให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะระบบการผลิตของโรงกลั่นน้ำมัน หากประหยัดการใช้พลังงานได้มากเท่าไหร่ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกก็จะลดลงไปด้วย

สอง นำเทคโนโลยีดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเก็บไว้

สาม การทำไฮโดรเจนสีเขียว (green hydrogen) ด้วยการปลูกป่าดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งส่วนนี้ค่อนข้างมีความสำคัญต่อโรงกลั่นอย่างมาก เพราะพลังงานดังกล่าวจะกลายมาเป็นพลังงานทางเลือกในอนาคตที่นอกเหนือจากไฟฟ้าได้

สำหรับมิติด้านสังคม นอกจากกิจกรรมและโครงการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนต่าง ๆ ตลอดจนมุ่งเน้นการเคารพในสิทธิมนุษยชน ตรงนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาองค์กรสู่ความสำเร็จในระยะยาว นอกจากนั้นไทยออยล์ยังได้รับการยอมรับในการบริหารจัดการด้านทรัพยากรบุคคล ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในทุกความสำเร็จของบริษัทอีกด้วย

ส่วนหลักการกำกับดูแลกิจการและจรรยาบรรณ นับเป็นปัจจัยหลักในการสร้างความเป็นธรรมและเสริมสร้างองค์กรให้มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ไทยออยล์ยังขยายการกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดีสู่บริษัทในกลุ่มและคู่ค้าของไทยออยล์ เพื่อสร้างความพร้อมในการเติบโตร่วมกันในระยะยาวอย่างยั่งยืน

“วิโรจน์” กล่าวเพิ่มเติมถึงมิติทางสังคมว่า กลยุทธ์เดิมของไทยออยล์มีเพียงสังคมชุมชน (community society) เท่านั้น แต่ได้เพิ่มคำว่า “nature” มารวมเพื่อกำหนดกลยุทธ์ที่เรียกว่า “CARE STRATEGY” เพราะจะช่วยตอบโจทย์และเติมเต็มเป้าหมายของไทยออยล์ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย โดยจะเน้นไปที่การปลูกป่าบกและป่าโกงกางเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว

“เรามีพื้นที่เป้าหมายที่ยอดเขาภูไบ ต.ทุ่งสุขลา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เนื่องจากพื้นที่ด้านหลังติดกับโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์รวมกว่า 1,000 ไร่ เพื่อฟื้นฟูและดูแลให้สมบูรณ์มากขึ้น ทั้งยังเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ด้วยการสื่อสาร การรับข้อร้องเรียนต่าง ๆ การเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามาเยี่ยมชมกิจการโรงกลั่นและธุรกิจของกลุ่มไทยออยล์”

ถามว่า ทำไมเราถึงต้องให้ความสำคัญกับชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ?

“เพราะธุรกิจยุคปัจจุบันไม่ได้วัดความสำเร็จกันที่รายได้ หรือกำไรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องการดูแลรอบ ๆ บ้านขององค์กร โดยจะมีองค์กรอิสระเข้ามาประเมินผล เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย ว่าออกมามากกว่า 90% ที่สำคัญตรงนี้เป็นเป้าหมายที่ไทยออยล์วางไว้ทุกปี ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่เราต้องทำต่อเนื่องอย่างแน่นอน”

“วิโรจน์” ยังบอกอีกว่า ไทยออยล์ผลักดันโปรเจ็กต์ ECO PARK ตอนนี้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นภาครัฐขอใช้พื้นที่ศาลาประชาคม จัดสรร 6 ไร่ในพื้นที่ศรีราชา เพื่อเป็นสวนต้อนรับแนวคิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ ด้วยการนำระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) และการนำโซลาร์เซลล์เข้ามาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้งานคัดแยกขยะ

การบ่มเพาะ ESG ของไทยออยล์ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยวัดจากองค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะธรรมาภิบาล เนื่องจากไทยออยล์ติดอันดับท็อป 20 ของอาเซียน และท็อป 10 ของประเทศสำหรับบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งปีไทยออยล์ได้รับรางวัลความน่าเชื่อถือจากหลากหลายเวทีมากกว่า 30 รางวัลต่อปี