หุ้นไทยผันผวน แบงก์ชาติทั่วโลกยังส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย

ตลาดหุ้น

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินตลาดหุ้นไทยวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1,610-1,630 จุด ได้รับบรรยากาศเชิงลบ จากธนาคารกลางต่าง ๆ ยังส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง สร้างความกังวลต่อเศรษฐกิจ เชื่อกรอบล่าง 1,610 จุด ยังรองรับได้ ลุ้น ครม.เคาะมาตรการของขวัญปีใหม่ ด้าน “สรรพากร” ระบุภาษีขายหุ้นอาจต้องรอรัฐบาลชุดใหม่ หากรัฐบาลนำขึ้นทูลเกล้าฯ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไม่ทันภายในสิ้นเดือน ม.ค. 66

วันที่ 20 ธันวาคม 2565 บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) หรือเดิมชื่อ บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) รายงานแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่า คาด SET Index เคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1,610-1,630 จุด โดยตลาดยังได้รับบรรยากาศเชิงลบ จากธนาคารกลางต่าง ๆ ยังส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง สร้างความกังวลต่อเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามกรอบล่างบริเวณ 1,610 จุด ยังรองรับได้

และวันนี้ติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่คาดจะมีการออกมาตรการของขวัญปีใหม่ 2566 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยหนุนการฟื้นตัว เช่น โครงการช้อปดีมีคืน มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ขยายเวลาลดค่าธรรมเนียมการโอนฯ-จดจำนอง โครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 5

ด้านสรรพากรระบุภาษีขายหุ้นอาจต้องรอรัฐบาลชุดใหม่ หากรัฐบาลนำขึ้นทูลเกล้าฯ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไม่ทันภายในสิ้นเดือน ม.ค. 66

ขณะที่ สบน.ยืนยันฐานะการคลังไทยแข็งแกร่ง หลังเศรษฐกิจฟื้นตัวจากโควิด-19 โดยเตรียมทบทวนสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลงจาก 70% ล่าสุดพาณิชย์คาดการส่งออกไทยปี’65 เติบโต 7% ส่วนปี 2566 คาดมีมูลค่าการส่งออก 9.25 ล้านล้านบาท ทรงตัวจากปีนี้

ด้าน ธปท.ระบุการส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายไปภาคธนาคารสู่ภาคประชาชนนั้น ธนาคารจะขึ้นดอกเบี้ย 0.6% หรือมากกว่าครึ่งของดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับ

ฝั่ง รมว.พลังงานอียู บรรลุข้อตกลงกำหนดเพดานราคาก๊าซฯ หากราคาสัญญาก๊าซพุ่งขึ้นเกิน 180 ยูโร/MWh เป็นเวลา 3 วัน มีผลบังคับใช้ 15 ก.พ. 2566 และรัฐบาลมาเก๊าผ่อนคลายมาตรการให้ผู้ที่เดินทางจากจีนต้องแสดงผลตรวจโควิด-19 เป็นลบไม่เกิน 48 ชม. เป็นไม่เกิน 72 ชม. มีผลวันนี้

สำหรับกลยุทธ์ลงทุนช่วงสั้นมอง SET จะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ 1,600-1,640 จุด เนื่องจากตลาดยังอยู่ระหว่างรอปัจจัยชี้นำใหม่ ทั้งนี้ปัจจัยในประเทศติดตามสัปดาห์นี้ คือ การประชุม ครม.เพื่อพิจารณามาตรการของขวัญปีใหม่ และดุลการค้าไทยเดือน พ.ย. 2565

ส่วนปัจจัยต่างประเทศ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ อาทิ GDP ไตรมาส 3/65 (ประกาศครั้งสุดท้าย), ตัวเลขตลาดบ้านและความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมทั้งสถานการณ์โควิดในจีน ทั้งนี้กลยุทธ์ลงทุนยังคงแนะนำเป็น “Selective Buy”

เน้นรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้ 1.หุ้นเก็งกำไรที่คาดได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อาทิ เราเที่ยวด้วยกันเฟส 5, ช้อปดีมีคืน เลือก HMPRO, CRC, CENTEL, COM7

2.หุ้นเก็งกำไรที่คาดได้อานิสงส์จากการทำ Window Dressing (ราคาหุ้นปรับลงทั้ง YTD และ QTD รวมทั้งมีสถิติผลตอบแทนดีในช่วงปลายปี) เลือก CPF, ADVANC

3.หุ้นที่คาดโมเมนตัมกำไรไตรมาส 4/65 เติบโตแข็งแกร่ง YOY และ QOQ อีกทั้ง Valuation ยังน่าสนใจ เลือก BBL, GULF, CPALL, AU, AP

ทั้งนี้ช่วงสั้นแนะนำให้หลีกเลี่ยงหรือเพิ่มความระมัดระวังการลงทุน สำหรับกลุ่มที่มีปัจจัยลบกดดันผลประกอบการ และ/หรือ ราคาหุ้น ดังนี้

1.หุ้นอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งคาดได้รับผลกระทบจากบาทแข็งค่าและผลประกอบการหุ้นเทคโนโลยีของโลกมีแนวโน้มอ่อนแอต่อในไตรมาส 4/65

2.หุ้นเดินเรือ ซึ่งคาดได้รับผลกระทบจากอุปทานเรือใหม่ที่เข้ามาและอุปสงค์การขนส่งสินค้าเริ่มชะลอตัวลง

สำหรับหุ้นเด่นวันนี้คือ 1.HMPRO เพราะไตรมาส 4/65 คาดจะเป็นไตรมาสที่มีกำไรสุทธิดีสุดของปีนี้ โดยเติบโต YOY จากยอดขายสาขาเดิม (SSS) ที่เพิ่มขึ้น รายได้ค่าเช่าที่ฟื้นตัว และมาร์จิ้นที่กว้างขึ้นจากมีสัดส่วนยอดขายสินค้าอัตรากำไรสูงได้เพิ่มขึ้น และเติบโต QOQ จากปัจจัยฤดูกาล

2.CENTEL มองเป็นหนึ่งในหุ้นได้รับผลบวกหาก ครม. อนุมัติมาตรการช้อปดีมีคืนและเราเที่ยวด้วยกัน ขณะที่ไตรมาส 4/65 คาดผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้น YOY และ QOQ โดยได้รับการสนับสนุนจากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารที่ดีขึ้น