กรวัฒน์ เจียรวนนท์ : สิ่งที่เราขาดไปในสังคมคือแรงบันดาลใจ

อนาคตประเทศไทย

กรวัฒน์ เจียรวนนท์ ชวนถอดบทเรียนสตาร์ตอัพและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในยุคที่ต้องกลับไปทำงานอย่างหนักและไม่ยอมแพ้อย่างรุ่นปู่ รุ่นพ่อ พร้อมฝากการบ้านรัฐบาลให้เป็นผู้จุดประกายแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ความมุ่งมั่นและ “อยาก” จะทำตามความฝัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดหายไปในสังคม

“กรวัฒน์ เจียรวนนท์” บุตรชายคนโตของ “ศุภชัย เจียรวนนท์” แม่ทัพเครือ ซี.พี. และกลุ่มทรู ที่ละทิ้งการเรียนในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก มาปลุกปั้นธุรกิจของตนเองในชื่อ Eko ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Amity สตาร์ตอัพด้านโซเชียลคลาวด์ และกำลังขยายธุรกิจในสเกลระดับโลก กับเป้าหมายในการเป็นผู้นำในตลาดบริการโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี (Infrastructure as a service) หรือ IaaS ระดับโลก ด้วยโซลูชั่นที่ช่วยองค์กรต่าง ๆ สร้าง และรักษาฐานลูกค้า และสร้างมูลค่าเพิ่มจากฐานลูกค้าด้วยฟีเจอร์ด้านโซเชียล

ปัจจุบัน Amity มีสำนักงานขายและการตลาดอยู่ในลอนดอน และมิลาน มีลูกค้าเป็นแบรนด์ชั้นนำในอเมริกา และยุโรป จำนวนมากที่มีมูลค่าธุรกิจหลายพันล้านดอลลาร์ มีผู้ใช้ต่อเดือน (monthly active users : MAUs) เพิ่มขึ้นจาก 30,000 ราย เมื่อต้นปี 2565 เป็นกว่า 1.1 ล้านราย ในเดือน ก.พ. 2566

ถอดบทเรียนสตาร์ตอัพ ต้องใช้เวลาเพื่อโตยั่งยืน

“กรวัฒน์” กล่าวว่า การทำสตาร์ตอัพส่วนที่ยากมาก ๆ คือการหา Market Fit คือการหาความต้องการในตลาดที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีหรือโซลูชั่นที่จะเข้าไปพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหา ที่ยากก็เพราะต้องใช้เวลาแต่ถ้าเจอแล้วจะสามารถพัฒนาได้ถูกจุดและ Scale หรือขยายขนาดธุรกิจได้รวดเร็วและยั่งยืน

“บางครั้งผมคุยกับสตาร์ตอัพต่างประเทศที่เขาระดมทุนเยะ ๆ เขาก็ช็อกว่า Amity เรามีอายุ 10 ปีเหรอ เรายังอายเลยว่าเกิน 10 ปี มันถือว่าค่อนข้างนานสำหรับบริษัทเทคโนโลยี ที่ปกติแล้วไปเร็วแล้วลงเร็ว ไปเร็วแล้วไปเลย”

“แต่ผมมาคิดย้อนมองดูว่า ใน 10 ปีที่ผ่านมานี้ เรามีการปรับโฟกัสกว่าที่เราจะเจอ Market Fit นี่นาน และเราอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่เคยถือว่าเซ็กซี่ ไม่เคยถือว่าฮอต ถือว่าเทรนด์ เราก็พัฒนาและค้นหาไปของเราเรื่อย ๆ แล้วเราเน้นสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนที่มันจะสเกลได้จริง เพราะเราทำในส่วนของ B2B มันจะไม่เหมือนธุรกิจที่เป็นคอนซูเมอร์เทคโนโลยีที่การลงทุนพัฒนาต้องใช้เงินเยอะ อย่างเช่น ผมอยากได้รายได้หนึ่งเหรียญ วันนี้ผมจะต้องใช้การตลาดหนึ่งเหรียญเอามา Subsidized หนึ่งเหรียญมันก็ไม่เวิร์ก มันก็ไม่ยั่งยืน”

ADVERTISMENT

Market Fit มันต้องใช้เวลา และทุกคนก็มีเส้นทางเดินที่ไม่เหมือนกัน แต่การที่มันใช้เวลาหลาย ๆ ปีผมคิดว่ามันก็เป็นบทเรียนที่ดี เพราะว่าสมมุติ ผมลองทำสตาร์ตอัพมาห้าปีแล้วผมยอมแพ้ ผมก็ไม่รู้ว่า จริง ๆ ถ้าเดินต่อก็อาจจะเจอ Market Fit ได้

ส่วนที่ผมเจอในวันนี้ ส่วนหนึ่งผมคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุ เพราะจริงลูกค้าเขาก็จะพูดตลอดว่าต้องการอย่างนี้ อย่างนั้น เขาบอกเราไม่ได้หรอกว่าโปรดักต์อะไรที่จะเป็น Market Fit เมื่อพูดถึงว่าเขาต้องการอะไร แต่ว่าการของเขาก็อาจไม่สอดคล้องกับลูกค้าอื่น ๆ ไม่ใช่ว่าทุกบริษัทในโลกต้องการสิ่งนี้ นั่นก็ยังไม่ใช่ Market Fit ที่สเกลได้

ADVERTISMENT

เราโชคดีว่าสิ่งที่ลูกค้าต้องการตอนนั้น มันเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ แล้วเราก็คิดว่ามันน่าจะมี Market Fit แล้วเราก็ลอง เราก็เริ่มเจอว่าเออมันมีความน่าสนใจจริง ๆ และขยายตัวเติบโตมาได้ถึงตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น

หมดยุค Easy Money ย้อนสู่ยุค Work Hard

“แน่นอนว่าหลักคิดของทุกคนที่ทำสตาร์ตอัพ หรือผู้ประกอบการที่เริ่มทำธุรกิจต้องรู้อยู่แล้วว่า มันไม่ง่าย แต่บางครั้งรุ่นใหม่คิดว่าแป๊บเดียวก็ทำได้ เราเพิ่มเงินได้ ระดมทุนได้ แต่ชีวิตจริงไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องพร้อมที่พยายามเรื่อย ๆ
ซึ่ง คนในรุ่นก่อน ๆ มันเป็น Part of Mentality อยู่แล้วว่าทุกอย่างมันไม่ง่าย เราต้องทำงานหนัก work hard เราต้องไป แบบรุ่นพ่อ รุ่นปู่ มันเป็น Part of DNA แต่รุ่นใหม่ที่เติบโตมาตั้งแต่ 2008 อยู่ในยุคของ Easy money ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ปรับอัตราดอกเบี้ยต่ำ สถิติการลงทุนเติบโตมาก ทุกอย่างเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด นั่นคือ ผ่านมาแล้ว 15-16 ปี”
แปลว่าคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในระบบแรงงานที่ทำสตาร์ตอัพมาทั้งชีวิต ทั้งหมดเจอแต่ช่วงเวลาที่มันเป็น Easy Money ที่ทุกอย่างมันง่าย แล้วก็ทุกอย่างมันเร็ว สตาร์ตอัพนี้เติบโตขึ้นระดมเงินง่าน อ่านอย่างเดียวว่าธุรกิจขาขึ้นขึ้น แปปเดียวก็ขึ้น แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ อย่างนั้นผมคิดว่าเราต้องพยายามเรียนแล้วก็เข้าใจจากการฟัง จากคนรุ่นก่อน ๆ
การที่เราจะบอกว่าไม่ยอมแพ้จริง ๆ เป็นสิ่งที่ใครก็พูดแต่ว่าในทางปฏิบัติมันไม่ง่าย โดยเฉพาะสำหรับรุ่นของเราที่เจอแต่อะไรง่าย ๆ แต่ถ้าไปถามเรื่องการยอมแพ้กับคนรุ่นก่อนเขาจะขำ และมองว่าไม่ควรพูดด้วยซ้ำเพราะถ้ามาทำธุรกิจไม่มีใครเขายอมแพ้ง่าย ๆ หรอก แต่ว่ารุ่นนี้บริษัทสองปีระดมเงินไม่ได้ก็ยอมแพ้แล้ว ผมคิดว่านี่มันสำคัญ

ต้องเชิดชูคนประสบความสำเร็จจากศูนย์ หรือติดลบ

“กรวัฒน์” ยังกล่าวด้วยว่า ทุกวันนี้คนให้ความชื่นชมแบบผิด ๆ จากความสำเร็จที่โชว์ สื่อต่าง ๆ ให้คุณค่ากับคนเหล่านี้ มากกว่าคนที่เริ่มต้นทุกอย่างจากที่ไม่มีอะไรเอื้ออำนวย ซึ่งอาจล้มเหลวไป แต่ถึงอย่างไรหากคนที่ไม่มีสิ่งเอื้ออำนวยใดสร้างธุีรกิจหรือบุกเบิกอะไรขึ้นมาได้เป็นเรื่องที่ต้องชื่นชมเป็นแบบอย่าง ซึ่งเขาเองก็นับถืออย่างมากเนื่องจากที่เขาพา Amity เดินทางมาถึงทุกวันนี้ ก็เพราะพื้นเพที่ดีที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีส่วนที่เอื้ออำนวยมากกว่าใคร แต่ผมก็คิดว่าผู้ประกอบการทั่วไปแล้วก็มีสิ่งเอื้ออำนวยอยู่ก่อน จึงไม่อยากเรื่องพื้นเพตัวเองนำมาทำให้รู้สึกผิดหรืออะไร
ต้องบอกว่าทุกผู้ประกอบการก็มีความโชคดีของเขา บิล เกตส์ ก็โชคดีว่าบ้าน พ่อแม่ เขา ได้มีคอมพิวเตอร์ให้สมัยนั้นเป็นของหรูหรา ผู้ประกอบการที่เติบโตในสหรัฐ แน่นอนว่ามีความโชคดีหรือมี Advantage ที่เอื้ออนวยมากกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว
อย่างผมเองก็โชคดีมากที่มีนามสกุลที่คนก็เชื่อถือ แล้วก็มีพื้นเพที่มีคนที่ช่วยให้คำปรึกษา ผมยังคิดไม่ออกว่าคนที่ไม่มีพื้นเพ หรือสิ่งเอื้ออำนวย ที่พวกนี้เขาทำธุรกิจสำเร็จนี้ ไม่รู้ว่าทำได้อย่างไร คิดไม่ออกเหมือนกัน เพราะผมรู้ชัวร์ว่าถ้าผมไม่ได้มาจากพื้นเพนี้ ผมไม่มีทางถึงจุดนี้ชัวร์ แปลว่า คนที่ทำขึ้นมาจากศูนย์นี่คือเก่งจริง
ตัวอย่าง ผมอยากจะเจอนักลงทุนเพื่อไป Pitch งาน เขาก็เปิดใจที่จะฟัง แต่คนที่มาจากพื้นเพที่ต้องเริ่มทุกอย่างด้วยตัวเองแบบไม่มีสิ่งเอื้ออำนวย กว่าเขาจะได้ประชุมแรก กี่ร้อยประชุมกว่าจะได้ หนึ่งการยอมรับ มัยากมาก และผมอยากให้ชื่นชมคนเหล่านี้เยอะ ๆ

ฝากการบ้านรัฐบาล : แรงบันดาลใจคือสิ่งที่ขาดไปในสังคม

สิ่งที่จะฝากถึง อย่างแรก คือ “การศึกษา” เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ แต่ว่าแค่ทำให้ การศึกษาดี ผมคิดว่ามันไม่พอ ผมคิดว่าสิ่งที่รัฐบาลทำได้ที่จะช่วยมากที่สุด คือ เราต้องทำ Incentive แบะทำทุกอย่างเพื่อดึงธุรกิจระดับภูมิภาคหรือระดับโลกมาตั้งฐานที่เมืองไทย แล้วก็มาจ้างคนที่เมืองไทย อย่างน้อยบางส่วนของธุรกิจก็ได้ เข้ามาตั้งฐานอย่างนี้ คนไทยถึงจะได้ประสบการณ์จริง ๆ
โรงเรียน กับ มหาวิทยาลัย เราอาจจะพัฒนาได้ก็จริง โดยเราจะสอนคนให้มากขึ้นได้ แต่ไม่มีอะไรสู้ประสบการณ์จริงได้ การที่เราดึงธุรกิจระดับโลกมาตั้งฐานมันก็ดีอยู่แล้วในเชิงเงินลงทุน แต่ว่าคนไทยจะต้องได้ประสบการณ์ จะได้เรียนรู้ได้จริงผมคิดว่าสำคัญมากถ้าจะสร้างอีโคซิสเต็ม สร้างคนขึ้นมาจากประสบการณ์จริง
ดังนั้น อย่างที่สอง ผมคิดว่า สิ่งที่เราต้องมุ่งเน้นอย่างยิ่งและให้หนักมากขึ้น คือ เรื่องของ “แรงบันดาลใจ” อันนี้ อาจจะฟังดูจับต้องไม่ค่อยได้มากแต่ว่าผมคิดว่าหนึ่งใน “สิ่งที่เราขาดไปในสังคมของเรา” สังคมเราอาจจะไม่ผลักดันหรือเน้นย้ำมากพอที่จะสร้างให้เด็กของเราทะเยอทะยานให้มีความฝัน
ผมเคยเห็นผลสำรวจว่าอาชีพที่นักเรียนไทยต้องการทำมันคืออะไรบ้าง อันนี้ก็คงรู้กันว่ามีลักษณะอย่างไร ผมอยากให้มันดีกว่านี้ ผมหวังว่าเราต้องมีแรงบันดาลใจมากขึ้น ต้องสร้างในทุกระดับ ให้เขาต้องอยากเป็น อยากทำก่อน สมมุติว่าเราเอาบริษัท ดี ๆ อย่างกูเกิลมาเปิดออฟฟิศได้ ถ้าคนไม่อยากไปเรียนรู้เพื่อที่จะพัฒนาธุรกิจตัวเองไม่มีความทะเยอทะยานตรงนี้ มันก็ล้มเหลวอยู่ดี