“ประชาชาติธุรกิจ” เดินหน้าโปรเจ็กต์ Future Thailand ชวนนักธุรกิจทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นใหม่มาร่วมมองอนาคตประเทศไทย ในช่วงนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ ปี 2566 หลังจากที่มีการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรไปเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566
ล่าสุดได้พูดคุยกับ “ศุภชัย เจียรวนนท์” ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) ในฐานะผู้นำอาณาจักรธุรกิจใหญ่ของประเทศ ที่ครอบคลุมทั้งธุรกิจการเกษตร อาหาร ค้าปลีก รวมไปถึงอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและการเงิน ที่จะมาสะท้อนมุมคิดถึงโจทย์ขับเคลื่อนประเทศไทย ในโมเดลที่ไม่เหมือนเดิม
- ชง “วาระด่วน” รัฐบาลใหม่ ทุนจีนผวารถไฟไทย-จีนเปลี่ยนทิศ
- เปิดประวัติ ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ ทีมประสานต่างประเทศพรรคก้าวไกล
- แห่แชร์คลิป อ.วีระ ท้าก้าวไกล ถ้าได้เกิน 17 คนในกทม. มากระทืบได้เลย
โจทย์ใหญ่ “ปฏิรูปภาคเกษตร”
ปัญหาสำคัญของประเทศที่ต้องเร่งแก้ไขในมุมมองของ “ศุภชัย” คือ เรื่องเกษตร โดยเปิดประเด็นว่า เพราะเมืองไทยภาคการเกษตรยังไม่สามารถผ่านยุค 1.0 ไปได้ อาจมีบางส่วนที่ผ่านไป 2.0 หรือทำ smart farming แต่ประเทศไทยยังไม่สามารถรวมเป็นเกษตรแปลงใหญ่ที่จะทำให้เกิดเป็น “เกษตรอุตสาหกรรม” ได้
พร้อมยกโมเดลการปฏิรูปภาคการเกษตรในต่างประเทศว่า จะทำเป็นระบบสหกรณ์ โดยให้เกษตรกรเป็นแลนด์ลอร์ด เป็นผู้ถือหุ้น แบ่งผลประโยชน์ด้วยความเหมาะสม แต่สหกรณ์ในประเทศไทยไม่ประสบความสำเร็จ เพราะหากระบบสหกรณ์ต้องทำ 5 ด้าน คือ การบริหารจัดการ การใช้เทคโนโลยี การทำการตลาด การเพิ่มมูลค่าต่าง ๆ และบริหารการเงิน แต่สหกรณ์ของไทยทำเรื่องเงินเพียงอย่างเดียว และก็ทำได้ไม่สมบูรณ์
“ตอนนี้ประเทศไทยมีสหกรณ์การเกษตรประมาณ 5,000 แห่ง เทียบเท่ากับจำนวนตำบล แต่ 2 ใน 3 ไม่ประสบความสำเร็จ”
อีกปัญหาสำคัญของภาคเกษตร คือ “เรื่องชลประทาน” จะเห็นว่าไทยมีทั้งปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง นั่นหมายความว่า “เรามีน้ำแต่ขาดการบริหารจัดการ” เกษตรกรที่อยู่ใกล้แหล่งชลประทานให้ผลผลิตสูง แต่พื้นที่ห่างไกลจากแหล่งชลประทานก็ทำเกษตรกันแบบตามมีตามเกิด
“ผมมองว่าไทยควรมีการสร้างแหล่งน้ำ สัดส่วนง่าย ๆ คือ 1 ต่อ 10 หมายถึงพื้นที่ 10 ไร่ จะต้องมีแหล่งน้ำ 1 ไร่ ถ้ามองในภาพของพื้นที่ในประเทศ 3,000 ตำบล ต้องทำให้คลัสเตอร์ของ 3,000 ตำบล ให้มีหนองน้ำขนาดใหญ่เอาไว้บริหารจัดการ หรือสามารถที่จะเป็นผู้ลงทุนระบบบริหารจัดการน้ำ และสร้างรายได้หรือผลผลิตที่สูงขึ้นหลายเท่า สามารถที่จะคืนทุนให้กับการบริหารน้ำและบำรุงรักษาดูแล”
ทั้งนี้ ถ้าเกษตรกรสามารถตั้งเป็นวิสาหกิจ หรือสหกรณ์ขึ้นมา ให้เกิดเป็นองค์กร ที่สามารถต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงได้ เหมือนเป็นบริษัทเอกชน หรือการต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมได้อย่างกลุ่มอ้อยและน้ำตาล ที่ถือว่าประสบความสำเร็จในการทำเกษตรแปลงใหญ่
ปลดล็อกปัญหาดันจีดีพีเกษตร
“ถ้าเราจะยกระดับประเทศ จากประเทศเกษตรกรรม ไปสู่อุตสาหกรรมเกษตรยุคใหม่จะต้องปฏิรูประบบ รูปแบบที่เราน่าจะทำต่อเนื่อง คือ PPP (public private partnership) เดิมเรามีโครงการประชารัฐ ก็สามารถทำเป็นประชารัฐเพื่อการปฏิรูปการเกษตร ซึ่งไม่ใช่จบแค่ 2 เรื่องนี้
เพราะยังมีเรื่องเทคโนโลยี ต้องทำควบคู่กันไป ต้องนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าสินค้า บางคนอาจจะมองว่าจะช่วยเพิ่มผลผลิต 3-5 เท่า แล้วถ้าผลผลิตออกมามาก สินค้าล้นตลาด ราคาตกจะทำอย่างไร ต้องทำต่อไปถึงการแปรรูป ทำแพ็กเกจจิ้ง ทำการตลาด สร้างแบรนด์ ต่อยอดให้กับสินค้าอาหารไทย”
ปัจจุบันอาหารไทยเป็นสินค้าที่อยู่ระดับต้น ๆ ของโลก ถ้าแต่ละอำเภอ จังหวัด ทำสินค้าแบรนด์ 10 สินค้า นำไปสู่การส่งออก สร้างแบรนด์ เอาแค่นักท่องเที่ยวจีนที่มาเมืองไทยก็พอแล้ว ซื้อของฝากกลับไป นี่คือ “ซอฟต์พาวเวอร์แบรนดิ้ง”
“ถ้าปลดล็อกเรื่องเหล่านี้สร้างระบบนิเวศที่ถูกต้อง เศรษฐกิจจะเติบโตขึ้นมาเอง เหมือนประเทศจีนพอปลดล็อกก็เติบโต จากประเทศที่มีประชากรที่อดอยากค่อนประเทศ กลายเป็นประเทศที่เกือบจะเรียกว่าเศรษฐกิจใหญ่สุดในโลก หากไทยทำตอนนี้ไม่ช้าไป และที่ผ่านมาก็ถือว่าทำมาพอสมควรหลายด้าน
ภาคเกษตร คิดเป็นประชากร 1 ใน 3 ของประเทศ ถ้าเราสูญเสียทรัพยากรเหล่านี้ เด็กรุ่นใหม่ก็ไม่ทำเกษตรกัน โอกาสที่ไทยจะเป็นคลังอาหาร เป็นความมั่นคงทั้งระดับภูมิภาคหรือระดับโลกจะหายไปพร้อม ๆ กัน ถ้าแก้ได้จีดีพีเกษตรตอนนี้ 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในระยะเวลาไม่นานต้องไปถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ”
ปั๊มคนสายพันธุ์สตาร์ตอัพ 1 ล้านคน
อีกด้านที่สำคัญไม่แพ้กัน “ศุภชัย” ย้ำว่า สิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องทำ คือ เรื่องทรัพยากรมนุษย์เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด เรื่องนี้อาจจะถูกมองว่าเป็นเรื่องระยะยาว แต่ต้องเริ่มต้นก่อน ที่ผ่านมายังขาดความต่อเนื่อง และต้องร่วมมือกันหลายกระทรวง หากจำเป็นเราต้องมี “บอดี้” มาขับเคลื่อนเรื่องนี้ อาจจะเรียกว่า “national board of education transition”
แนวทางหนึ่งที่ถือว่าสำคัญมาก ๆ คือ การสร้าง “สตาร์ตอัพ” หากเรามีทุนที่จะให้เขาลองผิดลองถูก อย่างสิงคโปร์ประเทศที่มีความเข้มแข็งมาก มีสตาร์ตอัพประมาณ 50,000 ราย แต่ในเมืองไทยมีประมาณ 1,000 ราย ซึ่งประสบความสำเร็จจริง ๆ อาจไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่หมายถึงคนจำนวนมากที่ได้เรียนรู้ ลองผิดลองถูกจะทำให้มุมมองของเขาเปลี่ยนไปเลยทั้งชีวิต
“ถ้าเราสามารถพัฒนาสตาร์ตอัพขึ้นมา 20,000 ราย แต่ละรายมีคน 50 คน รวมแล้วเราจะมีคน 1 ล้านคน ที่ถูกเทรนมาให้มองทุกอย่างเหมือนเป็นผู้ประกอบการ และให้มองลงไปถึงการใช้เทคโนโลยี และการสร้างนวัตกรรมในการเปลี่ยนแปลงโลก จะมีโรงเรียนไหนใหญ่กว่านี้ และเขาจะเป็นคนไปดิสรัปต์เอกชนรุ่นเก่าด้วย ทำให้เอกชนเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะเขาก็คือเอสเอ็มอี แต่เป็นเอสเอ็มอีด้านเทค”
การพัฒนาสตาร์ตอัพ ช่วยแก้อะไรได้หลายอย่าง แม้กระทั่งเรื่องวัฒนธรรม ถ้าอยู่ดี ๆ มีคนล้านคนมาปลุกเรื่องสตาร์ตอัพ นี่ไม่ใช่เป้าหมายที่ใหญ่เกินไป เรื่องดิจิทัลอีโคโนมี เรื่องคนก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเช่นกัน
4 นโยบายสำคัญขับเคลื่อนประเทศ
“ศุภชัย” สรุปแนวคิดข้อเสนอที่ต้องการให้รัฐบาลขับเคลื่อน ประกอบด้วยเรื่องการศึกษา การเป็นเทคฮับ ซึ่งเกี่ยวโยงกับสตาร์ตอัพเยอะ และการเป็น innovation center และการปฏิรูปเรื่องการเกษตร และอยากเสนออีกเรื่องคือ การปฏิรูปสื่อ เพราะสื่อเป็นห้องเรียนที่ใหญ่ที่สุดในการหล่อหลอมวัฒนธรรม และต้องพูดว่าสื่อที่ประชาชนเข้าถึงช่วงไพรมไทม์มีไม่กี่ช่องสถานีโทรทัศน์ และคอนเทนต์เหล่านั้นถูกกระจายไปในอินเทอร์เน็ต ด้วยดาราเซเลบริตี้
หากรัฐบาลให้อินเซนทีฟโดยการสนับสนุนเงินทุนสำหรับการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่า ใส่ทั้งเรื่องความรัก ความกตัญญู การซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน หลายอย่างที่เป็นคุณค่า เป็นวัฒนธรรมที่ดีงาม ซึ่งปกติการทำละครใช้งบฯลงทุน 50 ล้านบาทต่อไตรมาส ทั้งปีใช้เงิน 200 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลอาจสนับสนุน 400 ล้านบาทต่อช่อง ถ้ามีช่องที่มีคนดู 2-3 ช่อง คือ ใช้เงินประมาณ 1,200 ล้านบาท ให้สื่อทำคอนเทนต์ที่มีคุณค่าแบบนี้ รัฐบาลให้เงินสนับสนุนเลย 50 ล้านบาท แบบได้ต้นทุนไปแล้ว
“เรียกว่า เงิน 1,200 ล้าน ทำให้ประเทศสามารถหล่อหลอมวัฒนธรรมที่ดี สร้างความเข้มแข็งของคนทั้งประเทศ สอดแทรกความภูมิใจในวิชาชีพ หรือสร้างโรลโมเดล ซึ่งผมโชคดีกว่า ผมมีคุณธนินท์เป็นโรลโมเดล แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีคนใกล้ชิดเป็นโรลโมเดล ทุกวันนี้ผมคิดว่าเด็ก ๆ ทุกคนฝันอยากจะเป็นอะเวนเจอร์ เพราะเขาต้องการโรลโมเดล เงิน 1,200 ล้านจึงถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับกรอบความคิดของการดำเนินสังคมอันยิ่งใหญ่” ประธานคณะผู้บริหาร ซี.พี.กล่าวทิ้งท้าย
- บิ๊กธุรกิจชี้โจทย์รัฐบาลใหม่ ปฏิรูปเกษตร-SME-รีสกิลแรงงาน
- กกต.ประกาศวันเลือกตั้ง ส.ส. 14 พฤษภาคม 2566
- กระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล : รัฐบาลใหม่ต้องสร้างความหวังให้ประชาชน
- สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ TDRI : ประเทศจะดี เริ่มที่ประชาธิปไตยและนโยบายสาธารณะ
- เลือกตั้ง 66 : บรรยง ชี้ผู้นำใหม่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ-ฉากทัศน์รัฐบาล 2 ขั้ว
- ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร MFEC : รัฐต้องช่วย SME โต แล้วประเทศไทยจะโต