สธ.เตือนภัยโอไมครอนระดับ 3 จ่อปิดสถานบริการ Work from home

สธ.

สธ.ยกระดับแจ้งเตือนภัยเป็นระดับ 3 “สีส้ม” จำกัดการรวมกลุ่ม ปิดสถานบริการ ทำงานจากที่บ้าน คัดกรองก่อนเดินทาง หลังพบผู้ติดเชื้อโอไมครอนแล้ว 514 ราย ใน 10 กว่าจังหวัด

วันที่ 27 ธันวาคม 2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ร่วมกันแถลงฉากทัศน์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทย และอัพเดตสถานการณ์โอไมครอน

ชี้โอไมครอน โควิดเวฟ 4

นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า สถานการณ์โลกตั้งแต่มีการระบาดโควิด-19 ขณะนี้เป็นเวฟใหญ่ที่ 4 คือ โอไมครอน ซึ่งกำลังไต่ขึ้นในภาพรวมของโลก แต่อัตราเสียชีวิตไม่ได้กระดกขึ้นตามอัตราผู้ติดเชื้อ หมายถึงการระบาดไม่ได้ทำให้ผู้เสียชีวิตมากขึ้น

แสดงว่า อาการส่วนใหญ่ไม่รุนแรง โดยขณะนี้มี 106 ประเทศที่พบสายพันธุ์ดังกล่าว ทั้งนี้ ประเทศไทย พบโอไมครอนสะสม 514 ราย และเรายังอยู่ในการควบคุมได้ แม้จะมีการไปพบปะ สัมผัสคนอื่น ระบบสอบสวนโรคเราสามารถติดตามและอยู่ในระบบได้แล้ว

โดยรายงานผู้เสียชีวิตประจำวันนี้ (27 ธ.ค.) 18 ราย ถือว่าต่ำสุดแล้ว เมื่อพิจารณาจะพบว่า 70-80% ไม่ได้รับวัคซีน ดังนั้น การรับวัคซีนจะลดอาการป่วยหนักและเสียชีวิต จึงจำเป็นต้องเร่งรณรงค์ฉีดวัคซีนในกลุ่มเสี่ยง ส่วนผู้ป่วยอาการหนักก็ลดลงต่อเนื่อง ล่าสุด สธ.ได้จัดทำระดับการเตือนภัยโรคโควิด-19

“ขณะนี้อยู่ในระดับ 3 โดยเป็นสัญญาณเตือน ว่า มีการติดเชื้อจากต่างประเทศ ซึ่งวันนี้ (27 ธ.ค.) เราพบว่ามาจากต่างประเทศ 92 ราย”

สธ.

ยกระดับเตือนภัย

ด้าน นพ.โอภาสกล่าวว่า ตามที่ท่านปลัด แจ้งให้ทราบว่า สธ.ประเมินสถานการณ์และประกาศแจ้งการเตือนภัยด้านสาธารณสุขเป็นระดับ 3 จากทั้งหมด 5 ระดับ เพื่อป้องกัน ตรวจจับการระบาด ควบคุมโรคและสถานการณ์ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความร่วมมือของประชาชน

ฉะนั้น หากมีการแจ้งเตือนภัยด้านสาธารณสุขเป็นระดับ 3 สิ่งที่ต้องเน้นย้ำและขอความร่วมมือ ได้แก่

1.ปฏิบัติตามมาตรการ COVID-19 free settings อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะสถานที่เสี่ยงระบบปิด เช่น ร้านอาหารที่เป็นห้องปรับอากาศ ที่แออัด พนักงานจะต้องฉีดวัคซีนให้ครบถ้วน

รวมถึงสุ่มตรวจ ATK เป็นระยะ และคัดกรองลูกค้า เว้นระยะห่าง ซึ่งที่มาผ่านพบว่าดำเนินการได้ดี แต่ยังพบหลายร้านย่อหย่อนไปบ้าง เช่น ไม่ได้ตรวจสอบการฉีดวัคซีนกับพนักงานใหม่ ซึ่งหากมีความแออัด จะต้องใช้ระบบจองคิว แนะนำลูกค้าปฏิบัติตามมาตราการ ทำความเข้าใจกับลูกค้า

“สัญญาณที่เราได้รับในเรื่องของการระบาดขณะนี้ แม้ว่าโอไมครอนความรุนแรงดูเหมือนน้อยยกว่าเดลต้า เพื่อความไม่ประมาทเนื่องจากยังมีผู้เดินทางมาจากต่างประเทศแล้วติดเชื้อเข้ามา”

“แม้จะมีมาตรการคัดกรอง ตรวจสอบวัคซีน ตรวจ RT-PCR หาเชื้อก่อนเดินทางและเมื่อมาถึงก็ต้องตรวจอีก ก็ยังพบผู้เดินทางเข้ามายังติดเชื้ออยู่ เพราะต่างประเทศยังมีความรุนแรงอยู่ จึงเป็นสัญญาณที่เราต้องระวังตัว รวมถึงยังเห็นคลัสเตอร์ในประเทศเป็นระยะ” นพ.โอภาสกล่าว

นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่คนไปต่างจังหวัด มีการดื่มสุรา หลายครั้งเป็นร้านอาหารระบบปิด หรือบาร์ที่เปลี่ยนเป็นร้านอาหาร ก็ทำให้เกิดคลัสเตอร์ที่เราเห็น รวมถึงกิจกรรมอื่น ๆ

ดังนั้น ความร่วมมือประชาชนช่วงเฉลิมฉลองปีใหม่ให้มีความสุขและปลอดภัยคู่กันไปด้วยมาตราการ VUCA ที่ป้องกันได้ทุกสายพันธุ์ คือ Vaccine, Universal Prevention, COVID-19 free settings และ ATK อย่างไรก็ตาม ครอบครัวที่มีกลุ่มเสี่ยง 608 ขอความกรุณาลูกหลานพามารับวัคซีน หรือแจ้งให้เจ้าหน้าที่เข้าไปฉีดที่บ้าน

“ย้ำว่าวัคซีนเข็ม 2 แล้วต้องฉีดเข็มกระตุ้นตามระยะที่ สธ.กำหนด และย้ำอีกว่าวัคซีนมีเพียงพอ พิสูจน์ว่ามีความปลอดภัยสูง จากที่มีรายงานว่าเสียชีวิตหลังรับวัคซีน พอสอบสวนไปก็พบว่าเกิดจากสาเหตุอื่น ไม่เกี่ยวกับวัคซีน” นพ.โอภาสกล่าว

นพ.โอภาสกล่าวย้ำว่า สำหรับการเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้พบว่าคนไทยเดินทางไปค่อนข้างเยอะ แต่อย่างที่ทราบคือประเทศเราปลอดภัยกว่าค่อนข้างเยอะ เช่น หลายคนไปยุโรปก็เดินทางเอาเชื้อกลับมาฝาก ดังนั้น เมื่อเดินทางกลับมาไทยแล้วก็ขอให้พึงระลึกเสมอว่าแม้ตรวจ RT-PCR ไม่พบเชื้อ

แต่ในสัปดาห์แรกที่เราพบตัวอย่างในคลัสเตอร์หลายจังหวัด เช่น กาฬสินธุ์ ขอให้กลับมาเพื่อสังเกตอาการ อย่าเพิ่งไปทำกิจกรรมที่พบคนเยอะ โดยเฉพาะการรับประทานอาหารร่วมกัน ในระบบปิด ซึ่งเป็นการสร้างความเสี่ยงให้กับตัวท่าน ชุมชนและจังหวัด

“ความเสี่ยงนี้เชื่อว่าทุกคนรู้อยู่แล้ว เพียงแต่บางครั้งคิดว่าไม่เป็นอะไร ก็ขอให้ถือว่าช่วงนี้ เราขอความร่วมมืออย่างจริงจัง” นพ.โอภาสกล่าว

ทั้งนี้ การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะในช่วงเทศกาล สธ.ร่วมกับกระทรวงคมนาคม จัดมาตรการต่าง ๆ ให้เกิดความปลอดภัย ซึ่งด้านพนักงานให้บริการยานพาหนะส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนครบแล้ว

ส่วนมาตรการที่เราจะออก เช่น การเดินทางมากกว่า 4 ชั่วโมง ขอให้การตรวจ ATK ผู้เดินทาง อย่างไรก็ตาม ขอให้หลีกเลี่ยงสัมผัสใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยง ทั้งคนในครอบครัวและคนรู้จัก รวมถึงการคัดกรองหาเชื้ออย่างต่อเนื่อง ก่อนกลับมาทำงานหลังเทศกาลปีใหม่

เชื่อหลังปีใหม่ระบาดมากขึ้น

“เชื่อว่าหลังปีใหม่อาจมีการระบาดมากขึ้น โดยเฉพาะโอไมครอนที่ติดเชื้อง่าย ดังนั้น ขอให้ท่านปฏิบัติมาตรการทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) อย่างต่อเนื่อง” นพ.โอภาสกล่าว

อย่างไรก็ตาม อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การประเมินความเสี่ยง 5 ระดับ คือ สีแดงเข้ม แดง ส้ม เหลือง และเขียว เราดูจาก 1.อัตราผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วยต่อแสนประชากร ซึ่งเป็นข้อมูลรายสัปดาห์ หากสีแดงคือติดเชื้อมากกว่า 50 คน/แสนประชากร/วัน

2.ความสามารถรองรับผู้ป่วย เตียงเขียว เหลือง แดง ซึ่งจะเน้นย้ำในผู้ป่วยหนัก นอกจากนั้น ยังดูการฉีดวัคซีนครอบคลุมกลุ่มเสี่ยง คู่กับการระบาดในคลัสเตอร์ว่าควบคุมได้อย่างในระดับพื้นที่

เตือนภัย 5 ระดับ สูงสุดเคอร์ฟิว กักตัวทุกราย

1. สีเขียว ใช้ชีวิตตามปกติ เปิดโควิดฟรีเซตติ้งทุกแห่ง การเดินทางข้ามประเทศได้ปกติ

2. สีเหลือง ให้เร่งเฝ้าระวัง จำกัดเข้าพื้นที่ปิด เริ่มระบบ Test & Go

3. สีส้ม จำกัดการรวมกลุ่ม ปิดสถานบริการ ทำงานจากที่บ้าน คัดกรองก่อนเดินทาง และเปิดระบบแซนด์บอกซ์

4. สีแดง ปิดสถานที่เสี่ยง เปิดเฉพาะสถานที่จำเป็นต้องชีวิต ชะลอการเดินทางข้ามพื้นที่ ใช้ระบบกักตัวผู้เดินทางจากต่างประเทศ แบบลดวันกักตัว

5. สีแดงเข้ม จำกัดการเดินทางและกิจกรรม เคอร์ฟิว และใช้ระบบกักตัวผู้เดินทางทุกราย

“ความร่วมมือมีความสำคัญมากโดยเฉพาะสถานการณ์ดีขึ้น แต่โอไมครอนเป็นความเสี่ยง แม้อาการไม่รุนแรง แต่เราไม่วางใจ เพราะหากพบผู้ติดเชื้อมาก โอกาสที่จะเข้า รพ.และป่วยหนักจนเสียชีวิตก็เกิดขึ้นได้” นพ.โอภาสกล่าว