เซี่ยงไฮ้ฝ่าวิกฤต Lockdown ดึง บิ๊กเทค กระจายสินค้า

Photo by WANG Zhao / AFP
คอลัมน์ : Tech Times

บิ๊กเทคบริการดีลิเวอรี่เสริมทัพดีลิเวอรี่กระจายสินค้าทั่วเซี่ยงไฮ้ หลังเกิดวิกฤตขาคแคลนอาหารและยา หลังทั่วเมืองต้องตกอยู่ภายใต้การ lockdown อย่างเข้มงวด

แม้เมืองอื่นที่มีการระบาดในเวลาใกล้เคียงจะเริ่มทยอยเปิดเมืองกันแล้ว แต่เซี่ยงไฮ้-ศูนย์กลางเศรษฐกิจของจีน กลับยังต้องเผชิญกับการ lockdown ต่อไปอย่างไม่มีกำหนด หลังมาตรการ Zero-COVID ของรัฐบาลยังคงไร้ผลในการกดตัวเลขการติดเชื้อให้เป็นศูนย์

ในทางตรงข้าม ยอดผู้ติดเชื้อรายวันในเซี่ยงไฮ้กลับพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อสะสมนับจากต้นเดือนมีนาคมกว่า 130,000 ราย

การ lockdown ในเซี่ยงไฮ้ทวีความเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับ จากตอนแรกที่ทางการวางแผนจะปิดเมืองทีละครึ่งเป็นเวลาไม่กี่วัน ก็เปลี่ยนเป็นปิดพร้อมกันทั้งเมืองแบบไร้กำหนด ทำให้ชาวเซี่ยงไฮ้กว่า 25 ล้านคน ถูกสั่งห้ามออกไปไหน นอกจากไปรับการตรวจ

คำสั่ง lockdown ทำให้เกิดความแตกตื่น ผู้คนพากันแห่ไปกว้านซื้อสินค้าจนเกลี้ยงร้าน ทำให้ตอนนี้เซี่ยงไฮ้เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าพื้นฐานในการดำรงชีพอย่างหนัก

ร้อนถึงภาครัฐต้องขอให้ผู้ให้บริการดีลิเวอรี่ยักษ์ใหญ่อย่าง Meituan Alibaba และ JD.com มาช่วยพยุงสถานการณ์

Meituan ให้ความร่วมมือด้วยการเปิดบริการเฉพาะกิจ พร้อมระดมพนักงานจากทั่วประเทศ 1 พันคน ให้มาช่วยคัดแยกสินค้าในเซี่ยงไฮ้ พร้อมเปิดให้ลูกค้าที่อยู่ละแวกเดียวกันสามารถรวมออร์เดอร์เพื่อได้รับสินค้าพร้อมกันในวันถัดไป

ในระยะแรก จะให้ความสำคัญกับลูกค้าที่อยู่ในชุมชนปิดที่มีปัญหาในการเข้าถึงสินค้าต่าง ๆ ก่อน โดยบริษัทบอกว่าได้ทำการส่งสินค้าให้ชาวเซี่ยงไฮ้ไปแล้วกว่า 200,000 ออร์เดอร์ และมีแผนจะขยายบริการให้ครอบคลุมพื้นที่อื่น ๆ มากขึ้น และนำรถขนส่งสินค้าแบบไร้คนขับมาใช้ด้วย

ในขณะที่ JD.com บอกว่า จะให้ความสำคัญกับการกระจายสินค้าและอาหารสำหรับเด็กเป็นอันดับแรก ส่วน Alibaba บอกว่า ได้มีการระดมพนักงานดีลิเวอรี่กว่า 2 พันราย ให้มาช่วยงานในเซี่ยงไฮ้ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา

มาตรการ lockdown ครั้งนี้ยังส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ เช่น Tesla ต้องสั่งพักการผลิตในโรงงานที่เซี่ยงไฮ้ ในขณะที่ธนาคารต้องให้พนักงานมานอนที่ออฟฟิศเพื่อให้บริการไม่สะดุดระหว่าง lockdown

รอยเตอร์สวิเคราะห์ว่า การปรากฏตัวของผู้บริหารระดับสูงของทั้ง 3 บริษัทในงานแถลงข่าวร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา น่าจะเป็นท่าทีที่แสดงถึงความพร้อมจะทำตามนโยบายรัฐหลังจากโดนไล่บี้อย่างหนักในเรื่องของการปฏิบัติตามกฎระเบียบต่าง ๆ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

แต่ในแง่ของรายได้แล้ว นักวิเคราะห์ไม่คิดว่าบิ๊กเทคเหล่านี้จะได้กำไรหรือมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นกอบเป็นกำจากการเสนอตัวเข้าช่วยแก้วิกฤตในครั้งนี้ เพราะมาตรการ lockdown ที่เข้มงวดทำให้บริษัทขนส่งต่าง ๆ ต้องหยุดให้บริการ ส่งผลให้มี capacity ในการให้บริการอยู่แค่ 10-20% เท่านั้น

ในขณะที่บริษัทต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นค่าโรงแรมที่พักของพนักงาน ค่าตรวจเชื้อให้พนักงาน รวมไปถึงค่าขอใบอนุญาตต่าง ๆ ที่จำเป็น ดังนั้นการร่วมแรงร่วมใจพิชิตวิกฤตโควิดในเซี่ยงไฮ้คราวนี้จึงน่าจะทำไปเพื่อเอาใจภาครัฐมากกว่า แต่จะทำแล้วได้หน้า หรือโดนเขม่นหนักกว่าเดิมก็คงต้องรอดูกันไป


เพราะทำดีอย่างไรไม่ให้ล้ำเส้นภายใต้การนำของรัฐบาลจีนปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย