ขั้วรัฐบาลใหม่ เพื่อไทยแกนนำ ภูมิใจไทยแกนหลัก เลือกตั้งจ่ายหัวละพัน

ขั้วรัฐบาลใหม่ เพื่อไทยแกนนำ ภูมิใจไทยแกนหลัก เลือกตั้งจ่ายหัวละพัน

เปิดแผน 5 พรรคแกนหลักในสนามเลือกตั้ง สมมติฐาน 3 สูตร ในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ สมัยหน้า

อีก 9 เดือนจะมีการเลือกตั้งใหม่ ไม่นาน และไม่ช้าเกินการ ที่พรรคการเมืองเก่า-ใหม่ จะได้วางแผนสร้างกระแส หากระสุน

นักการเมืองตัวหลัก หลายพรรค เริ่มปักหมุด คาดการณ์ทำนายผลการเลือกตั้ง และตัวแปรชี้ขาด ของการจัดตั้งรัฐบาล อาทิ

พรรคที่ตีตั๋วได้กลับเข้าทำเนียบรัฐบาล อย่างแน่นอน คือ พรรคภูมิใจไทย (ภท.)

พรรคที่ได้เสียงข้างมากอย่างยากที่พรรคอื่นจะต้านไหว คือ พรรคเพื่อไทย (พท.)

พรรคที่ได้เสียงเป็นกอบเป็นกำ ทำลายโครงสร้างการเมืองแบบเก่า คือ พรรคก้าวไกล (กก.)

พรรคที่ยังติดอยู่ในกับดักวิกฤตผู้นำ ฐานเสียงแปรพักตร์ คือ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)

พรรคที่ยึดติดกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่เพียงผู้เดียว คือ พลังประชารัฐ (พปชร.)

5 พรรคนี้ คือสมการการเมือง ในการจัดขั้วรัฐบาลหลังเลือกตั้ง

สมมติฐานการชนะเลือกตั้ง ของพรรคเพื่อไทย โดยความเห็นของ นายทักษิณ ชินวัตร ตามที่ข่าวสดรายงาน คือ เป้าหมาย 253 เสียง จะเป็นไปได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับ “การซื้อเสียงหนักและหนักแน่นอนคราวหน้า บางที่อาจจะถึงหัวละพันบาท การแข่งขันสูงแน่นอน ไม่ว่าพรรคใดก็แล้วแต่ พรรคเพื่อไทยก็ต้องเตรียมตัว”

ทักษิณออกตัวว่า ไม่ได้พูดในนามเพื่อไทย “แต่กำลังสอนเพื่อไทย ถ้าจะไม่เป็นพรรคซื้อเสียงแข่งกับเขา ก็ต้องคิดว่าจะมีอะไรไปขาย ที่ประชาชนต้องชั่งใจระหว่างเอาเสียงละ 500-1,000 บาท กับนโยบาย ถ้าคิดตรงนี้แตกก็ไม่ต้องไปสนใจการซื้อเสียง คนอื่นปาเงิน เราปราศรัย”

สูตรแรก ของขั้วรัฐบาลสมัยหน้า มีพรรคไหน จับกับใคร ใช่เพื่อไทย+ก้าวไกล หรือไม่ อาจจะพอมองเห็น เค้าโครง จากปากคำของทักษิณ ที่พูดถึงเสียงของคนรุ่นใหม่ ไว้ว่า “เสียงของคนรุ่นใหม่ ผมดูแล้วน่าจะอยู่กับสองพรรค คือพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล (กก.) เด็กรุ่นใหม่ที่หัวแรงก็อาจจะไปกับพรรคก้าวไกล เพราะพรรคก้าวไกลเขาแรง”

“คนรุ่นใหม่เป็นคนคิดเป็น แล้วค้นหาความจริงเป็น เขาก็ต้องเลือกแนวทางที่ให้อนาคตเขา สไตล์ของพรรคเพื่อไทยที่สร้างมานานแล้ว คือพยายามใช้ปัญญาให้มากที่สุด เพื่อไปสร้างโอกาสให้กับประชาชน สร้างอนาคตให้กับเยาวชน ถ้าพรรคเพื่อไทยยืนจุดแข็งของตัวเองแบบนี้ต่อไป เชื่อว่าพรรคยังแข็งแรงและเป็นที่หนึ่งอยู่”

ความมั่นใจของทักษิณ ในการเลือกตั้งครั้งนี้เกิน 100%  “ผมเชื่อว่าคราวนี้พรรคเพื่อไทยคือแกนนำจัดตั้งรัฐบาล”

ธงของทักษิณ คือ “จะได้กลับบ้าน” เพราะ “มันถึงเวลาที่ต้องไปเลี้ยงหลาน ไม่มีปัจจัยอย่างอื่นเลย ปัจจัยที่สำคัญคืออยากไปเลี้ยงหลาน อยากไปอยู่ใกล้หลาน เป็นที่ปรึกษาให้ลูก แค่นั้นเอง เลยต้องแข็งแรงเพื่อซ่อมเวลาที่หายไป 10 กว่าปี นี่คือแรงจูงใจที่ทำให้ผมต้องแข็งแรง”

นักการเมืองตีปริศนาของทักษิณ ที่ระบุ วัน ว. เวลา น. ของการกลับบ้านปลายปีนี้ไว้หลายมิติ เมื่อเขาบอกว่า จะกลับไทยปลายปีนี้ “เป็นความตั้งใจ เป็นความฝันที่อยากกลับไป แต่จะสำเร็จหรือไม่ค่อยคิดอีกที คนเราต้องมีเป้าหมายไว้ก่อน บางทีก็สำเร็จ บางทีก็ไม่สำเร็จ แต่พยายามจะทำให้เป้าหมายนั้นไปสู่จุดหมายให้ได้ ผมไม่ได้ถอย แต่แก่แล้ว ถึงเวลาต้องไปเลี้ยงหลานแล้ว”

สูตรที่สอง พรรคพลังประชารัฐ “ไม่ชูประยุทธ์” ขึ้นเป็นผู้นำในยุคต่อไป แต่เสนอ “หัว” ใครบางคน ที่มีบุคลิกลักษณะเป็น “คนแบบประยุทธ์” ขึ้นมาแทน ซึ่งอาจจะทำให้ได้เสียง ส.ส.ต่ำกว่าภูมิใจไทย สูตรนี้ ภูมิใจไทย จะพลิกตัวขึ้นเป็นแกน ในการจัดตั้งรัฐบาล กับกลุ่มพรรคฝ่ายอนุรักษนิยม เป็นภูมิใจไทย-พลังประชารัฐ-ประชาธิปัตย์ และพรรคเล็ก

สูตรที่สาม พรรคเพื่อไทย-ก้าวไกล-ภูมิไจไทย เป็นรัฐบาล ดันประชาธิปัตย์ ไปเป็นฝ่ายค้าน เพราะไม่มีแนวโน้มที่จะพลิกมาเป็นจำนวน ส.ส.เป็นกอบเป็นกำ แคมเปญประชาธิปัตย์คัมแบ็ก ที่ภาคใต้ยังต้องต่อสู้กับคู่แข่งสายแข็งอย่างน้อย 3 พรรค ภาคเหนือ อีสาน ยังยากที่จะได้ ส.ส.เพิ่มขึ้น

ทั้ง 3 สูตร ยังมีพรรคภูมิใจไทย และอนุทิน ชาญวีรกูล ตัวแปรชี้ขาด ชี้เป็นชี้ตายว่า เก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนต่อไป ยังคงขึ้นอยู่กับอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าภูมิใจไทย

เพราะทุกสูตรของการจัดรัฐบาล มีพรรคขนาด 80-90 เสียง ของอนุทิน ที่วางแผนจับตัววางตายสไตล์ภูมิใจไทย เน้น ส.ส.เขต ที่เคยได้ บวกกับ ส.ส.ใหม่ สายแข็ง ที่ย้ายจากพรรคพลังประชารัฐ และจากเพื่อไทย รวบรวมไพร่พลปักหลักอยู่ที่ภูมิใจไทยปักธงแลนด์สไลด์ในอีสาน

ดังนั้นเป้าหมายชนะเลือกตั้งแบบแผ่นดินถล่ม แลนด์สไลด์ ของเพื่อไทย จึงมีก้างขวางคอที่แหลมคม อย่างภูมิใจไทย เสียบกระจายอยู่หลายจุด

แผนแลนสไลด์ของทักษิณ เพื่อเป็นแกนนำในการจัดรัฐบาลพรรคเดียว อาจไม่ถึงฝั่งฝัน

วิเคราะห์จากความเห็นของนายอนุทิน เกี่ยวกับการจัดขั้วรัฐบาลใหม่ เขายังแบ่งรับแบ่งสู้ “หากผลการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์ได้ไปถึง 250 ที่นั่ง ก็สามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้เลย เอาไว้ให้เป็นเรื่องของอนาคต แต่ถ้าหากไม่ถึง 250 แล้วเหลืออีกกี่ที่นั่ง ซึ่งทุกอย่างต้องรอวันเลือกตั้ง”

อุบัติเหตุทางการเมือง ชนิดไม่คาดฝัน คงเกิดขึ้นยากด้วยหลายเหตุปัจจัย แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผลการเลือกตั้ง จะสั่นสะเทือนทั้ง ขั้วประยุทธ์ และขั้วทักษิณ โดยมีอนุทิน เป็นตัวแปรหลัก