
ไตรมาส 2/63 บนความหวังโรคระบาดโควิด-19 จะต้องจบแนวทางการประเมิน ถ้าจบในไตรมาส 2 ให้เวลาขยับซ้ายขยับขวาในไตรมาส 3/63 และไปลุ้นเศรษฐกิจกลับมาทำมาค้าขายได้ปกติในไตรมาส 4/63 …ก็ยังดี อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่อยู่อาศัยอาจกล่าวได้ว่ายังไม่มีข่าวดีมากนัก โดย “ดร.วิชัย วิรัตกพันธุ์” รักษาการ ผอ. REIC-ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยแพร่ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย พื้นที่ กทม.-ปริมณฑล ประจำไตรมาส 1/63
มีการขยายตัวต่ำสุดนับจากปี 2555 ที่เริ่มจัดทำดัชนี ภาวะของห้องชุดหลุดดาวน์ทำให้ดัชนีราคาติดลบเป็นไตรมาสแรก
โดยดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่มีค่าดัชนี 128.4 จุด เพิ่มขึ้น 2.6% เทียบกับไตรมาส 1/62 และเพิ่มขึ้น 0.6% เทียบกับไตรมาส 4/62 ไฮไลต์อยู่ที่ดัชนีราคาห้องชุดใหม่ มีค่าดัชนี 153.4 จุด เพิ่มขึ้น 2.7% เป็นอัตราการขยายตัวต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2555 ยังไม่พอ เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/62 มีอัตราการขยายตัวลดลงเป็นไตรมาสแรก 0.3%
ข้อวิเคราะห์ คือ ตลาดห้องชุดได้รับผลกระทบเชิงลบมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 ตั้งแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยบังคับใช้มาตรการ LTV-loan to value หรือมาตรการบังคับเงินดาวน์ 20% ในการขอสินเชื่อซื้้อบ้าน-คอนโดมิเนียมหลังที่ 2 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ยังผสมโรงด้วยเทรดวอร์ สงครามการค้าจีน-สหรัฐ ล่าสุดและหนักสุดคือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กระทบรุนแรง และฉุดกำลังซื้อห้องชุดลดลงอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ไตรมาส 1/63 ดีเวลอปเปอร์ส่วนใหญ่ 41.8% ใช้กลยุทธ์ลดราคาห้องชุดเหลือขาย และห้องชุดที่นำกลับมาขายใหม่หรือห้องชุดหลุดดาวน์
โดยลดราคาขายลงตั้งแต่ 10.0-36.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/62
The show must go on ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ทางเลือก-ทางรอดในภาวะผู้บริโภค WFH-work from home, #อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ แม้รัฐบาลไม่ได้ห้ามการเปิดสำนักงานขายที่ไซต์โครงการบ้าน-คอนโดฯ
แต่ภาวะจิตตกของผู้บริโภค ความกังวลจะติดเชื้อโรคเอาชนะทุกสิ่ง ทำให้การขายออฟไลน์สะดุด แต่ยังมีออปชั่นการขายบนออนไลน์
ไตรมาส 2/63 เทรนด์การแข่งขันธุรกิจอสังหาฯ จึงพร้อมใจกันเปิดแนวรบ online booking เพื่อช่วงชิงยอดขายให้ได้มากที่สุด
ตอกย้ำว่าไม่มีวิกฤตใดที่ไม่มีโอกาสบนโลกของการทำธุรกิจ
“ณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์” หัวหน้าสายงานการตลาด บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
เอสซีฯเริ่ม 3-4 ปีแล้ว ออนไลน์บุ๊กกิ้งที่เปิดจองวันแรกคือ คอนโดฯ เซ็นทริค รัชโยธิน 3 ปีที่แล้ว (แคมเปญ SC Speed Online Booking วันที่ 6 มีนาคม 2561 เวลา 19.00-22.00 น.) และแชมเบอร์ส อ่อนนุช สเตชั่น (แคมเปญ SC Speed Online Booking วันที่ 3 ตุลาคม 2562 จำกัด 3 ชั่วโมง) เราก็ทำ แต่ไม่ได้ทำเป็น always on เท่านั้นเอง ไม่ได้เข้ามาเลือกหรือจองได้เรื่อย ๆ
ตอนนั้นเราจำกัดเวลา 3 ชั่วโมง เพื่อให้มี period time ที่ต้องแย่งกัน เพราะราคาพิเศษ เขาได้จองและเลือกก่อนใคร การขายก็ดึงมาขายเป็นชั้น ไม่ได้ขายทั้งหมดของโครงการ อาจจะ 1-2-3 ชั้น ผลตอบรับเซ็นทริค รัชโยธิน ขายหมด แต่แชมเบอร์ส อ่อนนุช สเตชั่น ยอดขาย 90% ค่อนข้างดีเพราะราคาดี
วิธีการก่อนอื่นเราต้องปล่อยเวลาให้ลงทะเบียนก่อน โปรโมตล่วงหน้า 1-2 เดือนว่าจะมีจองวันนี้ เสร็จแล้วลูกค้าที่สนใจจองต้องลงทะเบียนออนไลน์กับเรา ชื่อ-นามสกุลนี้ งบฯเท่านี้ แล้วเข้าไปเลือกห้อง ตอนจองเราจะเห็นว่าลูกค้ามีงบฯเท่าไร สนใจห้องแบบไหน พอวันที่จองเขาก็จะเห็นว่ายูนิตนี้มีคนดูกี่คน เห็นคนที่ active ในยูนิต คนไหน เท่าไหร่
learning curve ที่ได้จากการทำครั้งก่อน พบว่า ราคาคือสิ่งพิเศษ ตำแหน่งห้องก็สำคัญ เพราะว่าคนให้ความสนใจกับยูนิตที่เป็น rare item มาก ๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือคนพร้อมที่จะจองออนไลน์
ปัจจุบันแบ่งเป็น 2 สเต็ป ที่เห็นจองออนไลน์มันไม่ได้จอง-กดจ่ายจอง-ตัดเงินผ่านบัตรเครดิต ทุกเจ้าตอนนี้คือคุยกับเซลส์แล้วโอนเงิน ไม่ใช่ออนไลน์บุ๊กกิ้ง 100% เฟสแรกของเราก็คล้าย ๆ กันกับเจ้าอื่น ๆ แต่มีจุดดีตรงที่ไม่ว่าจะเป็นคอนโดฯ หรือบ้าน เราให้ทีมงานไล่เก็บบรรยากาศบ้านแต่ละยูนิตที่พร้อมอยู่ ลูกค้าสามารถเข้าไปดูว่ายูนิตที่จะจองข้างในเป็นอย่างไร วัสดุจริง บรรยากาศจริง บ้านจริงเลย มีหน้าบ้าน ให้ดูพื้นผิวเป็นห้อง ๆ สวนหน้าตาเป็นอย่างไร ถ่ายละเอียดทุกอณู
แตกต่างจากอดีต อย่างโครงการที่อ่อนนุช วันนั้นลูกค้าได้ดูแค่ฟลอร์แปลน แต่วันนี้ถ้าไปที่เว็บไซต์จะเห็นเลยว่าห้องนี้วิวนี้ เราเปิดหมดเลย เราให้ลูกค้าเข้าไปกดลิงก์ได้เลย ครั้งนี้เราอยากให้เขาได้คุยกับเซลส์โดยตรง แล้วให้เซลส์พาทัวร์ ส่งคลิป มีไลฟ์ทุกวันเสาร์ พาชมบ้านตัวอย่าง ดูพร้อมกันหลาย ๆ คน ถ้าลูกค้าไม่ได้ดูตอนนั้นก็ดูย้อนหลังได้ ให้เราส่งคลิปให้ก็ได้ หรือให้ไลฟ์เลย
วันนี้สิ่งที่แตกต่างคือเราใช้ไลน์เป็นหลัก process ไม่มีอะไรเลยแค่ contact มา ลูกค้าสามารถโอนเงินเข้ามาได้เลย หลังดูยูนิต ต่อรองราคา สเต็ปที่ 2 จะกลับมาเหมือนเดิมคือลูกค้าสามารถตัดผ่านบัตรเครดิตได้
โปรเซสหลังจากลูกค้ากดเลือกยูนิตที่ต้องการ เซลส์จะติดต่อทันที แอดไลน์โครงการเลย เราจะมีไลน์แต่ละโครงการหรือแอดมาที่ไลน์ส่วนกลางก็ได้ ถ้ายังไม่รู้ว่าสนใจทำเลไหน เข้ามาคุยกับออฟฟิเชียลก่อนก็ได้เดี๋ยวเราแนะนำให้ เสร็จแล้วก็เข้าไปดูแปลนในเว็บไซต์ได้ ซึ่งเฟซบุ๊กก็ดูได้ หรือจะให้เซลส์ส่งให้ทางไลน์ ถ้าโอเคก็จองได้เลย ไม่ต้องมาที่โครงการ หรือถ้ามาที่โครงการก็จะบุ๊กเวลาให้เอ็กซ์คลูซีฟ ไม่ต้องมาพร้อมกับเจ้าอื่นเพื่อความปลอดภัย
ในแง่ user experience เราปรับให้เวลา real ขึ้น เห็นบ้านจริง ห้องจริง ลูกค้ามีเวลาละเมียดในการดูบ้านตัวอย่างแต่งออกมาแล้วจะเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องมาที่โครงการเพื่อมานั่งดูบ้านตัวอย่าง ดูผ่านทางนี้ไปเลย experience ลูกค้าจะดีขึ้นเพราะเดิมออนไลน์เป็น rush ต้องรีบจอง รีบแย่งนู่นนี่ แต่ไม่มีดีเทล
ข้อแตกต่างกับคู่แข่ง เอสซีฯมีการทำออนไลน์บุ๊กกิ้งกับสินค้าบ้านแพงด้วย เพราะเอาจริง ๆ บ้านแพงถามว่าวันนี้เราไลฟ์เฟซบุ๊กมีจอง อาจไม่ถึงกับโอนเงินเข้ามา แต่ว่าลดการแวะซ้ำได้ ลูกค้าดูดีเทลมาแล้ว ปกติบ้านแพงต้องแวะ 3-5 ครั้งกว่าจะจอง คราวนี้ได้ดูข้อมูลในออนไลน์มาแล้วก็สามารถเข้ามาดูในไซต์โครงการแล้วตัดสินใจจองได้เลย
บทบาทออนไลน์เป็นตัว lead เข้ามา แต่จริง ๆ ก็แอบตั้งเป้าว่าเขาจะโอน ซึ่งบ้านถึงอย่างไรก็ต้องมาดู ไม่ใช่แค่บ้านแพง แต่สินค้าบ้านเดี่ยวคนก็อยากดูอยากเห็นของ ต้องศึกษาก่อนเพราะเวลาไปเจอเซลส์มักจะรีบเร่งรัดในการจอง เวลาเข้าไปโครงการ เซลส์จะให้ดูยูนิตที่เขาจะแนะนำ แต่ครั้งนี้เรามีเวลาในการดูบ้านตัวอย่างซ้ำ ๆ หลายรอบได้ จนกว่าจะตัดสินใจได้ว่าเข้ากับวิถีชีวิตเรา อันนี้คือแบบที่เราชอบ เรามีเวลาเยอะขึ้น
ถ้าไปที่โครงการเราดู 30 นาที 1 ชั่วโมงก็ทั่วบ้าน แต่ออนไลน์ละเมียดในการดูมากกว่า แต่อนาคตเราอาจต้อง prepare ตัวเองว่าเราสามารถที่จะจองออนไลน์ได้ในวันหนึ่งข้างหน้า รอพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เราก็เทสต์ตัวเองไปด้วยในตัว
เรื่องเป้ายอดขายตอนนี้ลูกค้ามาจากฝั่งออนไลน์มีเดียเยอะมาก อย่างอาทิตย์ที่แล้วไลฟ์โครงการเพลสกับวีคอมพาวนด์ บางนา ลูกค้าก็เข้ามาจองเลย เพียงแต่อาจไม่ถึงขนาดสินค้าอุปโภคบริโภคที่โอนเงินได้เลย เขาดูชอบหมดทุกอย่างเหลือแค่คอนเฟิร์มหน้างาน ไลฟ์วันเสาร์-อาทิตย์ลูกค้าเข้ามาจองเลย 2 ยูนิต
นั่นคือโครงการที่โฆษณาบนเว็บไซต์ ยอดคนคูณ 4 เท่าตัวจากเดิม หมายถึงถ้าลูกค้าคูณ 4 เท่าเลยในเรื่องของการเข้ามาดูแล้วลงทะเบียน เราเพิ่งลงบ้านไป คนดูเยอะขึ้น 3-4 เท่า และได้ลูกค้าเข้ามาลงทะเบียน ช่วงแรกที่ลงไปก็มีคนเข้าลงทะเบียนเข้าชมโครงการ 40 รายภายในไม่กี่วัน แทนที่เราจะรอลูกค้าอย่างเดียว อันนี้เราก็สามารถเห็นเลยว่าลูกค้าเข้ามาลงทะเบียนเป็นยูนิตไหน
ยังไม่ได้สรุปตัวเลข แต่ยอดขายเมื่อสัปดาห์กลางเดือนเมษายน 2563 สูงสุดในรอบ 4 ปีเลย มาจากไลฟ์เฟซบุ๊กก็ค่อนข้างเยอะ กลุ่มทาวน์โฮมกับบ้านเดี่ยวตอนนี้บ้านเดี่ยวเพฟ-PAVE ขายดีกว่าปกติเยอะเลย ราคา 4-6 ล้านบาท
ส่วนคอนโดฯถึงแม้ว่ามีจองผ่านไลน์ คนก็ไปที่ไซต์อยู่ดี ตัดสินใจเหมือนกัน ต้องไปดูวิว แต่ที่เห็นเป็นกระแสจองผ่านออนไลน์ เอาจริง ๆ ก็ต้องกลับมาหน้างานอีกที แต่ว่าของเราไม่ได้โละ ทำราคาพิเศษโปรโมชั่นดี ๆ มีกลุ่มที่คู่แข่งลดราคา 50% ซึ่งเราไม่ได้ทำแบบนั้น แต่จะไปพูดว่าเอสซีฯไม่ได้ลดราคาก็ไม่ได้ คือเรายังไม่ได้โละขนาดนั้น
อีกอย่างหนึ่งคอนโดฯเราส่วนใหญ่เป็นซูเปอร์ลักเซอรี่ เรามีคอนโดฯน้อย เพราะฉะนั้นกระแสอาจจะไม่ได้แรง ของที่เหลือขายก็ไม่ได้เยอะมากมีแค่ 5 โครงการ แล้ว 3 ใน 5 โครงการก็เป็นซูเปอร์ลักเซอรี่ ขายออนไลน์แต่ไม่ได้จองผ่านออนไลน์ 100% ซูเปอร์ลักเซอรี่ต้องดูละเอียดเพราะตารางเมตรละตั้ง 2-3 แสนบาท ต้องละเมียดในการดู มีคลิปถ่ายให้ดู สนใจยูนิตไหน เราก็ส่งคลิปให้ดู เราจะทำออนไลน์แบบพรีเมี่ยมมากกว่า ให้ลูกค้าสามารถที่จะทำการบ้านมาจากที่บ้าน
ในภาพรวมของตลาด เซ็กเมนต์แมสจริง ๆ คอนโดฯต้องต่ำแสน ตารางเมตรละ 60,000-80,000 บาท ของเราตอนนี้ถูกสุดคือแชมเบอร์ อ่อนนุช ตารางเมตรละ 1.3-1.6 แสนบาท เราก็ไม่แมสแล้ว ถ้าสมมุติว่าจองออนไลน์ที่เห็น 1.99 หรือ 2.9 ล้านบาท ซึ่งเราไม่มีเลย ต่ำสุดคือ 3 ล้านกลางแล้ว
อีกเรื่องคือคนคิดว่าลูกค้าออนไลน์ต้องเป็นเด็ก ไม่ใช่แล้ว กลุ่มหลักเป็นคนทำงานแล้ว อายุ 30-40 ปี เขาก็ดูออนไลน์มาก่อนในการตัดสินใจซื้อ เทียบทุกสิ่งอย่างมาก่อนแล้ว
ถามว่าการทำออนไลน์บุ๊กกิ้งเข้ามาช่วยแก้ pain point บริษัทยังไงบ้าง… สิ่งที่แก้ได้อย่างหนึ่งคือเป็นสปอตไลต์ให้คนเห็นเราเยอะขึ้น แทนที่ต้องรอคนตัดสินใจ ออนไลน์เพิ่มโอกาส พอคนเห็นเยอะขึ้นก็เพิ่มโอกาสในการให้ลูกค้าแวะเข้ามาและตัดสินใจที่โครงการ เรามีโอกาสในการเพิ่ม traffic เราก็ไปหาดีมานด์ที่อยากได้ช่วงนี้ เหมือนเป็นตัวเร่งมากกว่า ตอนนี้ยอด traffic ที่เข้ามาโครงการแนวราบปกติแล้ว และดีกว่าปกติด้วยซ้ำซึ่งมาจากออนไลน์นี่แหละ
ในเชิงสถิติ ลูกค้าแวะเพิ่มขึ้น 30% ยอดจองเพิ่มขึ้น 35% แต่ตอนนี้เราเจอปัญหา แบงก์ชาติต้องสนับสนุนลดมาตรการ LTV-loan to value (มาตรการบังคับเงินดาวน์ 20% ในการขอสินเชื่อซื้อที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 เป็นต้นไป) เพราะลูกค้ากู้ผ่านจริง แต่ไม่ได้วงเงินที่เขาอยากได้ เขาก็ไม่เอาเพราะต้องถือเงินสดในมือช่วงนี้ ไหนจะต้องตกแต่งอีก ยอดเรามาจริง แต่ยอดเหลือที่จะไปโอนจริงก็จะลดลงไป เราอยากให้แบงก์ชาติช่วยผ่อนมาตรการสัก 3 เดือน ต้องช่วยกัน เพราะอสังหาฯพอขายได้มันคือวัฏจักร แม่บ้านมีงานทำ คนซื้อเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า มันเชื่อมต่อหลายธุรกิจ
มาตรการที่อยากให้แบงก์ชาติผ่อนปรน ตอนนี้ไม่ควรมีจำนวนหลังแล้วว่าซื้อหลังที่ 1-2-3 ปลดล็อกมาตรการก่อน 3 เดือนช่วงโควิดก็ได้ ถ้าคนมีกำลังซื้อช่วงนี้เขาจะไปเก็งกำไรเหรอ ไม่ต้องสนแล้วไหมเพราะเก็งกำไรเขาก็เอาไปปล่อยเช่า แต่ให้ดาวน์ 30% เขาก็ไม่ตัดสินใจซื้อช่วงนี้เพราะเงินสดก็สำคัญ อยู่ดี ๆ จะเอาเงินสดมาเทดาวน์ 30% บ้านหลังที่ 3 ทำไม
นั่นคือออนไลน์ต่อให้มียอดจองเยอะ แต่สุดท้ายก็ไปตายที่แบงก์อยู่ดี แล้วแบงก์ก็ไม่ผ่อนปรนเพราะกลัวแบงก์ชาติตรวจสอบ
ในด้านต้นทุนการตลาดลดลงอย่างน้อย 20% เพราะเราก็ต้องถูกลดมาจาก budget ที่เราได้ ต้นทุนทางออฟไลน์กับออนไลน์ต่างกัน 4 เท่า ออฟไลน์ก็ยังทำอยู่ในแง่ของป้ายคัตเอาต์เพื่อมาเป็นไดเร็กชั่นให้ลูกค้าเข้าโครงการได้ถูก ช่วงนี้เราลดการใช้ป้ายบ้าง มาลงที่ออนไลน์เยอะกว่าเดิมอีกเท่าตัว
อย่างตอนนี้งบฯตรงกลางฝั่ง corperate จะไปที่ออนไลน์ 90% ไปออนไลน์เต็มรูปแบบเลย แต่ที่ไซต์โครงการเนื่องจากว่าจะออนไลน์มากไม่ได้เพราะมีพวกบิลบอร์ดค้ำคออยู่ ค่าเช่าป้ายบ้านเราแพงมาก ภาพรวมตอนนี้เราก็ให้ออนไลน์ 50/50 เทียบกับของเดิมงบฯออฟไลน์เยอะ แต่เดิมออนไลน์เพิ่มในสัดส่วน 10% ต่อปี ออฟไลน์ต้นทุนเยอะกว่าอยู่ดีเพราะมีค่าป้าย ค่าเช่าบิลบอร์ดมาค้ำอยู่ดี
ถามว่าสูตรลงแอดออนไลน์ทำอะไรบ้าง… เราทำเยอะเลย รีโฉมใหม่เว็บไซต์เพื่อให้ SEO ดี SEM ก็มี แต่เราไม่ได้เน้นพวกแบนเนอร์เยอะ เรา retarketing มากกว่า วิเคราะห์เป็นจุด ๆ ไป เราไม่ได้หว่าน ส่วนใหญ่ก็เป็นพาร์ตเนอร์ฝั่งเฟซบุ๊ก กูเกิล ทวิตเตอร์ จะเน้นไปที่เฟซบุ๊กกับกูเกิล วันนี้มีงบฯเท่านี้ยิงไปดูว่าดีไหม
การ retarketing ได้ผลกว่าอันอื่น อสังหาฯไม่ใช่ consumer product ฉะนั้นลูกค้าก็ต้องดูรายได้ที่อยู่เป็นหลัก ส่วนใหญ่เราจะใช้ลักษณะอย่างนี้มากกว่า อย่างเฟซบุ๊กเราดูว่ากลุ่มที่ interact แบบนี้น่าจะมีโอกาสในการซื้อบ้านมากกว่า คนที่กดไลก์เพจนี้สนใจอสังหาฯไหม หรือคนสนใจของลักเซอรี่ก็อาจจะมีความสนใจในการซื้อบ้านเรา
เรื่องการใช้งบฯออนไลน์ เราค่อย ๆ ปล่อยทีละเฟส มีการรีดีไซน์เว็บไซต์ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว งบฯก้อนใหญ่จากบริษัทปกติเราใช้มาร์เก็ตติ้งไม่เกิน 3% ปีนี้แคปที่ 2.5% ของยอดขาย ถ้าออนไลน์ 3 เดือนก็ตก 10-15 ล้านบาท
ในแง่สัดส่วนคนทำงานต่อยอดขาย ปกติเวลาดูออฟไลน์พนักงานที่ดูแลโฆษณา 1 คนต่อ 1 โครงการ ตอนนี้ออนไลน์คนหนึ่งดูได้ 5-6 โครงการ เพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว อย่างทีมโฆษณามี 8 คน ดูแล 45-50 โครงการ
ถามว่าคอนเทนต์ที่ใช้ได้ผลเป็นแบบไหน… ตอนนี้ engagement ในเฟซบุ๊กดีขึ้นมาก แต่สิ่งหนึ่งเลยคือวิดีโอคนคลิกเข้ามาดูเยอะขึ้น เราถ่ายวิดีโอและไลฟ์มาเรื่อย ๆ คนดูชั่วโมงเดียววิวก็ 20,00-30,000 จากปกติเราโพสต์ภาพได้มากสุดก็ 10,000 วิว
ในด้านสถิติยอดคลิกกี่ครั้งถึงได้ 1 ยอดจองนั้น ต้องแยกกัน ของใหม่อาจยังตอบไม่ได้ แต่ของเก่าค่อนข้างดีอยู่ สมมุติคนลงทะเบียน 500 คนก็ขายได้แล้ว 30 ยูนิต เดิมมา 15 คนก็จองแล้ว 1 คน ของใหม่เพิ่งทำมา 3 อาทิตย์เอง ก็ต้องรอดูผลนิดหนึ่ง
เมื่อมียอดคลิกแล้วก็ต้องมียอดคอล มองว่าการโทร.คือการ followup มากกว่า มันคือหน้าที่ของเซลส์ ต้องโทร.เยอะเพราะคนลงทะเบียนเพิ่มขึ้น ถ้าคอลซ้ำ เอาจริง ๆ ลูกค้าโดยพฤติกรรมเขาแล้วถึงแม้จะดูรายละเอียดมาแค่ไหนก็ยังอยากได้ยินจากปากเซลส์ แต่จะเป็นรายละเอียดลงลึกว่าจะกู้อย่างไร ห้องนี้นู่นนี่อย่างไร
โอกาสปิดการขาย ถ้าคอลซ้ำรอบที่ 2 อยู่ที่ตัวเซลส์แล้ว อย่างโปรโมชั่นเรามีเอสซีแมน ซูเปอร์ฮีโร่มาช่วยลูกค้าผ่อนหนักให้เป็นฟรี อันนี้อาจปิดการขายเลยด้วยโปรโมชั่น ถ้าอยากอยู่ฟรีสูงสุด 24 เดือนเราก็จะมีให้ ช่วยผ่อนให้ 2 ปี หรือเลือกแบ่งเบาภาระค่าส่วนกลาง บ้านลักเซอรี่
- Online Booking หลุมหลบภัยโควิด-19 #1 “AP : ยุคนี้ทำคอนเทนต์เพื่อระบายสต๊อก”
- Online Booking หลุมหลบภัยโควิด-19 #2 “แสนสิริ : ถ้าลูกค้า engage หวังผลได้ 80%”
- Online Booking หลุมหลบภัยโควิด-19 #4 “ศุภาลัย : เซลส์มีข้อมูลตามงาน-ปิดจ็อบลูกค้าได้”
- Online Booking หลุมหลบภัยโควิด-19 #5 “ชีวาทัย : Work From Home มียอดคลิกทั้งวัน”