ห้วงสัปดาห์วันที่ 9-15 ตุลาคม 2023 ผู้กำหนดนโยบายการเงินและการคลังทั่วโลกไปรวมตัวกันอยู่ที่เมืองมาร์ราเกช ประเทศโมร็อกโก ในการประชุมร่วมประจำปีของ “เวิลด์แบงก์” หรือธนาคารโลก และ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
IMF เผยแพร่รายงาน “แนวโน้มเศรษฐกิจโลก” ฉบับใหม่ล่าสุดในงาน ซึ่งรายงานนี้กล่าวถึงเศรษฐกิจโลกว่า “ยังคงฟื้นตัวอย่างช้า ๆ” เปรียบเหมือน “คนเดินกะโผลกกะเผลก ไม่สามารถวิ่งได้” โดย IMF ยังคงคาดการณ์การเติบโตของจีดีพีโลกปีนี้ไว้ที่ 3% ชะลอลงจากอัตราการเติบโต 3.5% ในปี 2022 แต่ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2024 เหลือโต 2.9% จากคาดการณ์เมื่อเดือนกรกฎาคมว่าจะโต 3% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตระหว่างปี 2000-2019 ที่โตเฉลี่ยปีละ 3.8%
ในการประชุมร่วมประจำปีของ IMF กับเวิลด์แบงก์มีประเด็นน่าสนใจมากมาย ที่สำคัญคือ “คำเตือน” ที่มีอยู่ในแถลงการณ์ร่วมของ “คริสตาลินา จอร์เจียวา” (Kristalina Georgieva) กรรมการผู้จัดการ IMF และ “อาเจย์ บังกา” (Ajay Banga) ประธานธนาคารโลก ร่วมด้วย นาเดีย เฟตทาห์ (Nadia Fettah) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการคลังแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโก และ อับเดลลาติฟ เจารีห์ (Abdellatif Jouahri) ผู้ว่าการธนาคารโมร็อกโก และในการประชุม-สัมมนาต่าง ๆ
IMF และธนาคารโลกเห็นตรงกันว่า แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกในระยะกลางอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษ
ส่วนหนึ่งในแถลงการณ์ร่วมของสององค์กรบอกถึงความน่ากังวลของเศรษฐกิจโลกว่า “แผลเป็น” ทางเศรษฐกิจจากผลกระทบของวิกฤตที่เกิดขึ้นต่อเนื่องปรากฏให้เห็นชัดเจน ในขณะที่หลายประเทศกำลังดิ้นรนเพื่อเอาชนะอัตราเงินเฟ้อที่สูง หนี้ที่สูง และการขาดแคลนงบประมาณที่จะใช้เพื่อให้บริการขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน เพื่อสนับสนุนการดำเนินการด้านโครงสร้างพื้นฐานและสภาพภูมิอากาศ และเพื่อจัดการกับความยากจน ความไม่เท่าเทียม และความเปราะบางที่เพิ่มขึ้น
เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะเจอภาวะช็อกมากขึ้น มีความเสี่ยงมากขึ้นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ การพัฒนา การจ้างงาน-การมีงานทำ และมาตรฐานการดำรงชีพ ซึ่งเกิดขึ้นในระดับที่ไม่เท่ากันทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาได้รับผลกระทบอย่างหนักมากเป็นพิเศษ ความแตกต่างของรายได้ระหว่างประเทศกำลังพัฒนากับประเทศเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วลึกยิ่งขึ้น
“และโลกเราไม่ได้อยู่บนเส้นทางที่จะขจัดความยากจนขั้นรุนแรงภายในปี 2030” แถลงการณ์ร่วมระบุ
แถลงการณ์ร่วมบอกอีกว่า ความเสี่ยงหลักและปัจจัยผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลง (disruptive force) ซึ่งเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญอยู่นั้นมีการพัฒนาขึ้น ทั้งภัยคุกคามที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มมากขึ้นทั้งด้านรายได้และด้านโอกาส และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ แต่ก็มีโอกาสมาด้วยเช่นกัน
ซึ่งแถลงการณ์แสดงความกังวลกับปัจจัยท้าทายเหล่านี้ และเรียกร้องว่า “ไม่ควรมีประเทศใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”
คำเตือนที่สำคัญในเรื่อง “หนี้” เป็นหนึ่งหัวข้อสัมมนาหลักในงาน นำโดยกรรมการผู้จัดการ IMF และประธานธนาคารโลก สัมมนาหัวข้อนี้เน้นพูดคุยเพื่อสำรวจทางเลือกและความเป็นไปได้ว่าจะสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นต่อความเสี่ยงด้านหนี้ได้อย่างไร รวมถึงหารือถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการสนับสนุนจากประชาคมโลก
“ประเทศที่มีรายได้น้อยและเศรษฐกิจเกิดใหม่จำนวนมากกำลังเผชิญกับภาระหนี้มหาศาล ซึ่งจำกัดความสามารถในการลงทุนในด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ การคุ้มครองทางสังคม และโครงสร้างพื้นฐาน” ธนาคารโลกและ IMF แสดงความกังวล
นอกจากนั้น IMF เตือนในรายงานเสถียรภาพทางการเงินโลก (Global Financial Stability Report) ว่า อัตราดอกเบี้ยที่สูงจะทำให้ผู้กู้ยืมบางรายอยู่ในสถานะที่ “ไม่มั่นคง” มากขึ้น โดยประมาณ 5% ของธนาคารทั่วโลกมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเครียดทางการเงินหากอัตราดอกเบี้ยยังคงสูงต่อไปอีกนาน และอีก 30% ของธนาคารทั่วโลก (รวมถึงธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดในโลก) จะมีความเสี่ยงหากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ช่วงการเติบโตที่ต่ำเป็นเวลานานพร้อมกับภาวะอัตราเงินเฟ้อที่สูง
- IMF เตือนเศรษฐกิจเอเชียโดนกัดกร่อนจากวิกฤตอสังหาฯจีนและการย้ายฐานการผลิต
- IMF เปรียบเศรษฐกิจโลกเหมือนคนเดินกะเผลก คาดปีนี้โตได้แค่ 3%
- IMF คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้โตต่ำเพียง 2.7% ปีหน้าได้แค่ 3.2%
- ธนาคารโลกเตือนปีหน้า เอเชียโตต่ำสุดในรอบ 50 ปี
- ธนาคารโลกหั่นคาดการณ์เศรษฐกิจไทย เวียดนาม และหลายประเทศในอาเซียน