เดวิด คาเมรอน อดีตนายกฯอังกฤษหวนคืนรัฐบาล รับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ 

เดวิด คาเมรอน
เดวิด คาเมรอน เดินอยู่ภายในบ้านเลขที่ 10 ดาวนิง สตรีท ซึ่งเป็นทำเนียบรัฐบาลและบ้านพักนายกรัฐมนตรีอังกฤษ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2013 (ภาพโดย Suzanne Plunkett/ REUTERS)

ริชี ซูแน็ก นายกฯอังกฤษปรับคณะรัฐมนตรีแบบสายฟ้าแลบ สุดเซอร์ไพรส์ เดวิด คาเมรอน อดีตนายกฯหวนคืนรัฐบาล รับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2023 มติชนรายงานว่า ริชี ซูแน็ก (Rishi Sunak) นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร ปรับคณะรัฐมนตรีแบบสายฟ้าแลบ โดยตำแหน่งที่สร้างความตกตะลึงมากที่สุด คือการตั้งนายเดวิด คาเมรอน (David Cameron) อดีตนายกรัฐมนตรี ในสมัยเบร็กซิตให้กลับมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ

การแต่งตั้งดังกล่าวถูกสื่อต่างชาติมองว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะเป็นเรื่องยากมากที่อดีตผู้นำและผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกสภานิติบัญญัติจะได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีที่มีความสำคัญในรัฐบาล โดยรัฐบาลยังบอกด้วยว่าจะแต่งตั้งคาเมรอนให้ดำรงตำแหน่งในสภาขุนนาง ที่ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งเหมือนสภาล่างอีกด้วย

ขณะเดียวกัน ได้มีการปลดซูเอลลา บราเวอร์แมน (Suella Braverman) รัฐมนตรีมหาดไทยหญิง ซึ่งถูกมองว่าทำให้เกิดความแตกแยก หลังสร้างความไม่พอใจด้วยการกล่าวหาตำรวจว่าผ่อนปรนมากเกินไปที่อนุญาตให้กลุ่มผู้ชุมนุมสนับสนุนปาเลสไตน์เดินขบวนในกรุงลอนดอนช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเรียกผู้ชุมนุมได้มากถึง 300,000 คน

บราเวอร์แมนกล่าวว่า ถือเป็นสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตที่เธอได้ทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย และเธอมีเรื่องอีกมากที่จะพูดเมื่อถึงเวลาอันสมควร

ซูแน็กอยู่ภายใต้แรงกดดันให้มีการปลดบราเวอร์แมน ซึ่งเป็นพวกหัวแข็งในพรรคอนุรักษนิยม หลังจากบราเวอร์แมนออกมาโจมตีตำรวจอย่างหนัก พร้อมกับเรียกผู้ประท้วงเพื่อให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซาว่าเป็นพวกที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

ส่วน เจมส์ เคลเวอร์ลี (James Cleverly) อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศที่นายคาแมรอนเข้ามาแทนที่ ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยคนใหม่แทนบราเวอร์แมน ที่กลายเป็นผู้นำปีกประชานิยมของพรรคที่สนับสนุนการจำกัดการย้ายถิ่นฐานแบบเข้มงวด และประกาศสงครามกับพวกคุ้มครองสิทธิมนุษยชน พร้อมสนับสนุนนโยบายส่งผู้ลี้ภัยที่มายังอังกฤษไปยังรวันดา

นักวิจารณ์มองว่าบราวเวอร์แมนกำลังพยายามสร้างโปรไฟล์ของตนเองเพื่อลงชิงตำแหน่งผู้นำพรรคในอนาคต ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หากพรรคอนุรักษนิยมสูญเสียอำนาจในการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีหน้า