อธิบดีสรรพากร ชี้ฟังความเห็นเก็บภาษีเดินทางออกนอกประเทศ เรื่องจริง

ลวรณ แสงสนิท
ลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร

อธิบดีสรรพากร ยอมรับอยู่ระหว่างฟังความเห็นเก็บภาษีเดินทางออกนอกประเทศ ทางอากาศ ครั้งละ 1,000 บาทจริง ยืนยันไม่ใช่ภาษีใหม่ ระบุให้รอชี้แจงชัด ๆ

วันที่ 6 พฤษภาคม 2566 นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตามที่มีข่าวว่ากรมสรรพากร กำลังเปิดรับฟังความเห็นเรื่องเก็บภาษีเดินทางออกนอกประเทศ ทางอากาศครั้งละ 1,000 บาทอยู่นั้น ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง โดยยืนยันว่าไม่ใช่การเก็บภาษีใหม่ แต่เป็นการประเมินผลตามกฎหมาย ซึ่งกรมจะมีการอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจนอีกที

ทั้งนี้ มติชน รายงานว่า เมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา เว็บไซต์กรมสรรพากร ได้ประกาศเปิดรับฟังความเห็น พระราชกําหนดภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2526 โดยกำหนดตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม-17 พฤษภาคม 2566

โดยพระราชกําหนดภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2526 ได้กําหนดให้ กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ซึ่งมีลักษณะแตกต่างไปจากภาษีอื่น ๆ ที่กรมสรรพากรเคยจัดเก็บมา ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการจัดเก็บที่สําคัญคือ เพื่อเป็นการหารายได้ ให้แก่รัฐบาล และป้องกันมิให้คนไทยนําเงินตราต่างประเทศออกนอกราชอาณาจักรเกินสมควร ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาการขาดดุลการค้า และรักษาดุลการชําระเงินของประเทศ

ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษี คือผู้เดินทางที่มีหน้าที่เสียภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรมีลักษณะดังนี้

1. เป็นผู้ที่มีสัญชาติไทย หรือเป็นคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ใน ราชอาณาจักร (มาตรา 3) โดยผู้ที่มีสัญชาติไทย หมายถึงคนไทยโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเกิดในประเทศไทย หรือเกิดนอก ประเทศไทยก็ตาม และรวมถึงผู้ที่ขอแปลงสัญชาติเป็นคนไทยด้วย

สําหรับคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร คือคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายคนเข้าเมืองให้อยู่ในประเทศไทย แต่หากเป็นกรณีที่คนต่างด้าวที่เข้ามาประเทศไทยเป็นการชั่วคราวหรือระยะยาว หากไม่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยก็ไม่มีหน้าที่ต้อองเสียภาษีการเดินทางแต่อย่างใด

2.เป็นผู้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร (มาตรา 8) บุคคลที่เข้าลักษณะที่จะต้องเสียภาษีการเดินทาง จะต้องเป็นการเดินทางออกไปจากประเทศไทยเท่านั้น หากเป็นการเดินทางจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศไทยแล้ว บุคคล ดังกล่าวไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการเดินทาง

การเก็บภาษีการเดินทางนี้ ถ้าเข้าลักษณะตาม 1. และ 2. แล้วจึงจะต้องเสียภาษี การเดินทางทั้งสิ้น ไม่ว่าผู้เดินทางจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือเป็นข้าราชการที่เดินทางไปราชการ ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเดินทางเพราะเหตุใด จะต้องเสียภาษีการเดินทาง เว้นแต่จะได้รับยกเว้น ตามกฎหมาย

ผู้ที่ได้รับยกเว้นภาษีการเดินทาง (มาตรา 9) มีดังนี้

1. ผู้มีหน้าที่ทําการเกี่ยวกับการประกอบการขนส่ง ซึ่งโดยลักษณะหน้าที่ผู้นั้นไม่ต้องเสีย ค่าโดยสาร และเดินทางออกนอกราชอาณาจักร โดยหน้าที่การงานของผู้ประกอบกิจการขนส่ง ซึ่งตนมีหน้าที่ (มาตรา 9 (1))

โดยบุคคลกลุ่มนี้ ได้แก่ พนักงานประจําเครื่องบินหรือยานพาหนะซึ่งทําการขนส่งระหว่าง ประเทศ เช่น นักบิน พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เป็นต้น ตามปกติบุคคลเหล่านี้จะมีรายชื่อตาม แบบ ตม. 4 ของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นบัญชีรายชื่อบุคคลประจําเที่ยวบิน หรือเรือซึ่งออกในแต่ละเที่ยว

สําหรับผู้มีหน้าที่ทําการเกี่ยวกับประกอบการขนส่ง เฉพาะการขนส่งผู้โดยสารออกนอก ราชอาณาจักร ด้วยรถยนต์นั่งซึ่งมีที่นั่งไม่เกิน 7 คน หรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 12 คน หรือ มีน้ำหนักไม่เกิน 1,600 กิโลกรัม จะได้รับยกเว้นภาษีการเดินทางต่อเมื่อได้แสดงบัตร ประจําตัวตาม แบบ ภ.ด.ท.17 ที่ทางกรมสรรพากรออกให้พร้อมทั้งบัญชีคนโดยสารตามแบบ ตม.3 และบัญชีคนประจําพาหนะตามแบบ ตม.4 ทั้งนี้ให้แสดงเมื่อจะเดินทางออกนอก ราชอาณาจักร

2. ผู้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรโดยใช้ใบอนุญาตผ่านแดน (มาตรา 9 (2)) ใบอนุญาตผ่านแดนออกโดยผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอําเภอ ซึ่งจะออกให้แก่บุคคลที่ มีภูมิลําเนาในจังหวัดหรืออําเภอนั้น โดยจะเข้าไปได้ไม่เกิน 25 กิโลเมตร และห้ามอยู่เกิน 24 ชั่วโมง การใช้ใบอนุญาตผ่านแดนเป็นเพียงข้อตกลงระหว่างประเทศที่จะให้ประชาชนสามารถเดินทางข้ามชายแดนไปมาได้ ที่ใช้กันมากในประเทศไทย เช่น จังหวัดเชียงราย อําเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และอําเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นต้น

3. ภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช (มาตรา 9 (3) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2526))
ภิกษุ สามเณร ไม่ว่าจะอยู่ในศาสนา หรือลัทธินิกายใดได้รับยกเว้นภาษีการเดินทางโดย จะต้องมีหนังสือรับรองว่าเป็นภิกษุสงฆ์จริง เช่น พระภิกษุไทยในพระพุทธศาสนา จะต้องแสดง หนังสือสุทธิของพระ เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่าเป็นพระภิกษุสามเณรที่ถูกต้อง จึงได้รับการ ยกเว้นภาษีดังกล่าว

4. ผู้เดินทางซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย (มาตรา 9 (3) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2526)) พิธีฮัจย์ คือการเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่เมืองเมกกะ ในเดือนซุลฮิจญะฮ์ ตามวัน เวลา และสถานที่ต่าง ๆ ที่ทางศาสนาอิสลามกําหนดไว้ โดยจะต้องมีหนังสือรับรองเพื่อไป ประกอบพิธิฮัจย์ประกอบเป็นหลักฐานในการพิจารณายกเว้นภาษี

5. ผู้เดินทางไปทํางานนอกราชอาณาจักรตามสัญญาจ้างแรงงานที่กรมแรงงานให้ความ เห็นชอบ (มาตรา 9 (3) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2526)) ผู้เดินทางไปทํางานต่างประเทศตามสัญญาจ้างแรงงานที่กรมแรงงานให้ความเห็นชอบ จะได้รับยกเว้นภาษีการเดินทาง โดยทางกรมแรงงานจะออกหนังสือรับรองให้เพื่อจะได้รับการ ยกเว้นภาษี

6. ข้าราชการหรือลูกจ้างซึ่งปฏิบัติหน้าที่ประจําสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยใน ต่างประเทศ รวมทั้งสามี กริยา บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคนรับใช้ส่วนตัวของข้าราชการ และลูกจ้างดังกล่าว ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่สถานฑูตหรือสถานกงสุลไทยนั้นตั้งอยู่ในประเทศที่มีอาณาเขต ติดต่อกับประเทศไทย และเฉพาะการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรโดยทางบกหรือทางน้ำไปยังประเทศนั้น (มาตรา 9 (3) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2527))

7. ผู้เดินทางซึ่งเดินทางโดยทางบกหรือทางน้ำ (มาตรา 9 (3) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2529))

8. ผู้เดินทางซึ่งเดินทางผ่านประเทศไทยเพื่อไปยังต่างประเทศและจําเป็นต้องเข้าใน ราชอาณาจักร เพราะเหตุอากาศยานขัดข้องหรือเพื่อรอการเปลี่ยนอากาศยาน เนื่องจากไม่มีอากาศยานที่จะเดินทางต่อภายใน 24 ชั่วโมง แต่ผู้เดินทางดังกล่าวจะต้องเดินทางออกนอก ราชอาณาจักรภายใน 48 ชั่วโมงนับแต่เวลาที่เข้ามาในราชอาณาจักร (มาตรา 9 (3) ประกอบ กฎกระทรวง ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2529))

9. เดินทางซึ่งเดินทางโดยทางอากาศ (มาตรา 9 (3) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2534))

อัตราภาษี

พระราชกําหนดภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้กําหนดอัตราภาษีการเดินทาง ไว้ไม่เกินครั้งละ 5,000 บาท (มาตรา 8) แต่ได้มีการออกกฎกระทรวงกําหนดอัตราภาษีการเดินทางไว้ดังนี้

การเดินทางโดยทางอากาศ ครั้งละ 1,000 บาท การเดินทางโดยทางบกหรือทางน้ำ ครั้งละ 500 บาท

ขณะที่ วิธีการเสียภาษี การเสียภาษีการเดินทางตามมาตรา 8 วรรคสอง ประกอบกับประกาศอธิบดี กรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเสียภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ลงวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2526 ดังนี้

1. การเดินทางโดยทางเครื่องบิน ผู้เดินทางจะต้องชําระภาษีต่อผู้ประกอบการขนส่งหรือ ตัวแทน ซึ่งจําหน่ายตั๋วโดยสารในทันทีที่ซื้อตั๋วโดยสาร แต่ถ้ามีเหตุจําเป็นไม่อาจชําระได้ เช่นตั๋ว โดยสารซื้อมาจากต่างประเทศ ก็อาจชําระภาษีการเดินทางได้ต่อผู้ประกอบการขนส่งหรือตัวแทนในประเทศไทย พนักงานเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรที่ท่าอากาศยาน หรือที่สํานักงานสรรพากรอําเภอ ท้องที่ที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานหาดใหญ่ เป็นต้น ตั้งอยู่ หรือชําระต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ ด่านศุลกากรประจําท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานภูเก็ต หรือท่าอากาศยานหาดใหญ่ เป็นต้น กรณีที่มีการเดินทางทางอากาศโดยการเช่าเครื่องบินเหมาลํา ซึ่งทางสายการบินจะออก บัตรโดยสารให้เพียงใบเดียว การเสียภาษีการเดินทางจะต้องเสียตามจํานวนคนที่โดยสารไม่ใช่ตาม บัตรโดยสารที่ออก

2. การเดินทางโดยทางเรือ ผู้เดินทางจะต้องชําระภาษีการเดินทางต่อผู้ประกอบการขนส่ง ทางเรือหรือตัวแทน ซึ่งจําหน่ายตั๋วโดยสารในทันทีที่ซื้อตั๋วโดยสาร หรือถ้าซื้อตั๋วมาจาก ต่างประเทศก็ให้ชําระภาษีการเดินทางต่อผู้ประกอบการขนส่ง หรือตัวแทนดังกล่าวในประเทศไทย หรือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ ด่านศุลกากรประจําท่าเรือ หรือ ณ สํานักงานสรรพากรอําเภอท้องที่ (เว้นท้องที่ในเขตกรุงเทพมหานคร) ที่ด่านศุลกากรประจําท่าเรือตั้งอยู่

3. การเดินทางโดยทางรถไฟ ให้ชําระภาษีต่อพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย ณ สถานี รถไฟกรุงเทพหรือสถานีรถไฟซึ่งจําหน่ายตั๋วโดยสารให้ทันทีที่ซื้อตั๋วโดยสาร ในกรณีที่ไม่ได้ซื้อตั๋ว รถไฟที่กรุงเทพหรือหาดใหญ่ให้ชําระภาษีต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ ด่านศุลกากรประจําพรมแดน หรือ ณ สํานักงานสรรพากรอําเภอท้องที่ที่ด่านศุลกากรประจําพรมแดนตั้งอยู่

4. การเดินทางโดยทางอื่น ผู้เดินทางต้องชําระภาษีต่อผู้ประกอบการขนส่งซึ่งจําหน่ายตั๋ว โดยสารให้ทันทีที่ซื้อตั๋วโดยสารในกรณีที่ไม่มีการซื้อตั๋วโดยสารให้ผู้เดินทางชําระภาษีต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ ด่าน ศุลกากรประจําพรมแดน หรือ ณ สํานักงานสรรพากรอําเภอท้องที่ที่ด่านศุลกากรประจําพรมแดน ตั้งอยู่
การชําระภาษีการเดินทางตามหลักเกณฑ์ข้างต้น ให้ชําระเป็นรายบุคคลไม่ว่าจะมีการออก ตั๋วโดยสารเป็นรายบุคคล หรือเป็นกลุ่ม

สำหรับวิธีการเสียภาษี ผู้เดินทางจะต้องชําระภาษี และได้รับบัตรภาษีการเดินทาง โดยบัตรภาษีการเดินทางมี 3 ท่อน ผู้จําหน่ายบัตรจะเก็บต้นขั้วไว้ และมอบท่อนที่ 2 และ 3 ให้แก่ผู้เดินทางซึ่งผู้เดินทางจะต้อง มอบให้แก่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก่อนออกนอกประเทศ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะตรวจ

แล้วฉีกท่อนที่ 2 เพื่อรวบรวมส่งสรรพากร ส่วนท่อนที่ 3 จะคืนให้แก่ผู้เดินทางเป็นหลักฐานว่าได้ ชําระภาษีไว้แล้ว บัตรภาษีการเดินทางท่อนที่ 3 ยังใช้เป็นหลักฐานในการลงบัญชีในกรณีที่บริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลออกค่าภาษีการเดินทางให้แก่พนักงานของตน

ในกรณีที่ผู้เดินทางไม่แสดงหลักฐานการชําระภาษีหรือหลักฐานการได้รับยกเว้นภาษี เจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองจะไม่อนุญาตให้ผู้นั้นเดินทางออกนอกราชอาณาจักรหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ประกอบการขนส่งผู้ประกอบการขนส่งมีหน้าที่รับชําระภาษีการเดินทางและออกบัตรภาษีให้แก่ผู้เดินทางผู้ประกอบการขนส่งที่จะรับชําระภาษีการเดินทางจะต้องมายื่นคําร้องต่อกรมสรรพากร พร้อมตัวอย่างบัตรลายมือชื่อ และมารับบัตรภาษีการเดินทางมาจําหน่ายภายในสิบวัน ต้องทํา บัญชี รับจ่ายคงเหลือเป็นรายวันให้เสร็จภายใน 3 วัน นับแต่วันที่รับมาหรือจ่ายไป

สําหรับการนําส่งภาษีการเดินทางให้นําส่งดังนี้ คือ ภาษีวันที่ 1-10 นําส่งภายในวันที่ 15 ของเดือนเดียวกัน
วันที่ 1-20 นําส่งภายในวันที่ 25 ของเดือนเดียวกัน และวันที่ 21-สิ้นเดือน นําส่งภายในวันที่ 5 ของเดือนถัดไป

ในกรณีที่ผู้ประกอบการขนส่ง ทําบัตรภาษีการเดินทางสูญหายหรือขาดจํานวนไปโดยไม่ได้เกิดจากเหตุสุดวิสัย ถือว่าผู้ประกอบการขนส่งได้ใช้บัตรภาษีนั้น ในการรับชําระภาษี และต้อง เสียภาษีการเดินทางตามจํานวนบัตรที่สูญหายหรือขาดจํานวนไป

การขอคืนภาษี

บัตรภาษีการเดินทางมีอายุการใช้งาน 3 เดือนนับจากวันที่ได้ชําระภาษีการเดินทาง ถ้า ผู้เสียภาษีไม่ได้เดินทางจะต้องขอคืนภาษีโดยมีอายุความการขอคืนภายใน 180 วันนับแต่วันที่ ชําระภาษี (มาตรา 10)

บทลงโทษ

ผู้เดินทางที่หลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงโดยเดินทางออกนอกประเทศ โดยไม่ยอมเสียภาษีการเดินทางจะได้รับโทษ คือ เสียเบี้ยปรับ 2 เท่า และเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรือ เศษของเดือนโดยไม่รวมเบี้ยปรับ นอกจากนี้ยังมีโทษทางอาญา จําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกินสามพันบาท

สําหรับผู้ประกอบการขนส่งที่รับชําระภาษีการเดินทางจากผู้เสียภาษีแล้ว แต่ไม่นําส่งภาษี ตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกรมสรรพากรกําหนด ต้องรับโทษคือ เสียเบี้ยปรับ 2 เท่า และเสียเงินเพิ่ม อีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของภาษีที่ต้องเสียโดยไม่รวมเบี้ยปรับ