
นายกฯอังกฤษ ประกาศดันอังกฤษเป็นผู้นำในการกำกับดูแลเอไอ ประธานาธิบดีเยอรมนีเตือนเอไอเป็นภัยคุกคามระบอบประชาธิปไตย เร่งอัพสกิล digital literacy
วันที่ 12 มิถุนายน 2566 สำนักข่าว บลูมเบิร์ก รายงานว่า นายริชี ซูแน็ก นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ประกาศเดินหน้าผลักดันให้สหราชอาณาจักรมีบทบาทเป็นผู้นำในการควบคุมปัญญาประดิษฐ์ระดับโลก ขณะเดียวกัน ก็เตือนผู้นำอุตสาหกรรมว่า ประเทศต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพื่อรักษาความเป็น “เมืองหลวงแห่งเทคโนโลยีของโลก”
“เราได้เห็นเอไอช่วยคนเป็นอัมพาตเดินได้แล้ว และได้เห็นว่ามันค้นพบยาปฏิชีวนะที่ฆ่าแมลงได้อย่างดีเยี่ยม และนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ผมต้องการทำให้สหราชอาณาจักรเป็นศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์สำหรับการสร้างกฎระเบียบและการกำกับดูแลความปลอดภัยของปัญญาประดิษฐ์ทั่วโลก ไม่ใช่แค่เป็นศูนย์กลางทางภูมิปัญญาหรือเทคโนโลยีเอไอเท่านั้น”
บลูมเบิร์กระบุด้วยว่า นายซูแน็กต้องการให้อังกฤษมีบทบาทมากขึ้นในการถกเถียงเชิงนโยบายเกี่ยวกับเอไอ และคาดหวังจะจัดตั้งองค์กรเฝ้าระวังทั่วโลกกลางกรุงลอนดอน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาได้หารือกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ ในการเยือนทำเนียบขาวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ในขณะเดียวกัน นายฟรังก์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐเยอรมนี ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามจากเอไอต่อระบอบประชาธิปไตย เขาเรียกร้องให้มีการส่งเสริมทักษะการรู้เท่าทันดิจิทัล (digital literacy) ให้มากขึ้นในสังคม เพื่อต่อสู้กับอันตรายที่การนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้อย่างรวดเร็ว
นายชไตน์ไมเออร์ กล่าวว่า ผู้คนควรมีความพร้อมมากขึ้นในการตรวจสอบคำตอบที่เอไอมอบให้ และตระหนักรู้ว่ารูปภาพหรือข้อความใดที่ถูกสร้างโดยเอไอ
“เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเร่งด่วน ในช่วงเวลาที่ข้อมูลเท็จสามารถสร้างและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ก่อให้เกิดความกลัวและความสับสนในที่สาธารณะ ลดความน่าเชื่อถือของวิทยาศาสตร์ และทำให้ตลาดการเงินไม่มีเสถียรภาพ สังคมควรพัฒนากรอบจริยธรรมและกฎหมายเพื่อเฝ้าระวังเอไอ ไม่ว่าจะถูกใช้เพื่อช่วยในกระบวนการตัดสินใจ หรือเพื่อให้ผู้คนค้นพบสิ่งใหม่ต่าง ๆ”
เขากล่าวเสริมด้วยว่า ทั้งตัวของเอไอและบริษัทที่สร้างมันขึ้น หรือนำไปใช้งาน ในการตัดสินแทนมนุษย์และผู้คนในสังคมล้วนเป็นอำนาจการตัดสินใจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ในขณะที่ระบอบประชาธิปไตยเสรีรับรู้ถึงอันตรายจากการตัดสินใจด้วยเอไอที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังมีความเห็นต่างด้วยแนวคิดอำนาจนิยมที่มาจากพวก “อิสรนิยม-เทคโนแครต” (libertarian-technocratic) ในโลก ที่มองว่าการใช้เอไอในการตัดสินใจเป็นการใช้ประโยชน์ที่ต่างออกไป
“เป็นเหตุผลที่ทำให้เราต้องแสดงความชัดเจนในจุดยืนของเรา เราไม่คาดหวังว่า AI จะนำมาซึ่งจุดจบของประชาธิปไตย หรือแม้แต่จะนำไปสู่การสร้าง “รัฐขนาดเล็ก” (minimal state เป็นแนวคิดเศรษฐศาสตร์แบบคลาสสิก ที่มองว่ารัฐควรทำ “หน้าที่ขั้นต่ำ” เพียงเพื่อให้สถาบันอื่น ๆ ทำงานได้ก็พอ) เพราะกระบวนการตัดสินใจของรัฐในระบอบประชาธิปไตยเกี่ยวข้องมากกว่าการพึ่งพาข้อมูลและรูปแบบในอดีตสมาชิกของรัฐในระบอบประชาธิปไตยจำเป็นต้องรวบรวมความรู้และทำงานผ่านความคิดเห็นที่หลากหลาย เพื่อหาทางออกร่วมกันในการแก้ปัญหา”
“เราได้รับคำเตือนว่าความเสี่ยงที่อาจควบคุมไม่ได้จากเอไอกำลังมาถึงเรา และนั่นสมควรได้รับความสนใจจากเรา” นายชไตน์ไมเออร์ กล่าวทิ้งท้าย