กว่าจะเป็นเจ้าสัวสหพัฒน์ ประวัติ บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ตอนที่ 17

กว่าจะเป็นเจ้าสัวสหพัฒน์

หมายเหตุ : อัตชีวประวัติ เจ้าสัวบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา แห่งเครือสหพัฒน์ ผ่านการสัมภาษณ์ และตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ Nikkei ในคอลัมน์ Watashi no Rirekisho ชื่อเรื่อง My Personal History ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2564 ตีพิมพ์เป็นภาษาไทย ในคอลัมน์ “กว่าจะเป็นเจ้าสัวสหพัฒน์” ติดตามอ่านได้ใน นสพ.ประชาชาติธุรกิจ และทางเว็บไซต์ www.prachachat.net

ตอนที่ 17 ความวุ่นวายในยุค 70

การเรียกร้องประชาธิปไตยและการประท้วงต่อต้านญี่ปุ่น

โอกาสในการอุทิศตนเพื่อสังคมขององค์กร

ช่วงทศวรรษ 2510 เป็นยุคก้าวกระโดดของเครือสหพัฒน์ ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ผงซักฟอกและแชมพูขายได้ดี และเราได้ขยายการขายสู่ธุรกิจเสื้อผ้าและอาหาร ขณะเดียวกันก็มุ่งเน้นไปที่การโฆษณา ซึ่งมีบทบาทในการทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักแพร่หลายในกลุ่มผู้บริโภคของไทย มีการจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งเพื่อวางระบบการจัดการเพื่อการเติบโตยิ่งขึ้น

ในทางกลับกัน ทศวรรษ 2510 เป็นช่วงเวลาที่สังคมไทยเกิดความวุ่นวายอย่างรุนแรง จุดเปลี่ยนที่สำคัญจุดหนึ่ง คือ “เหตุการณ์ 14 ตุลาคม” ในปี พ.ศ. 2516

การปกครองภายใต้ระบอบเผด็จการทหารของ จอมพลถนอม กิตติขจร ในยุครุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ สร้างความไม่พอใจของชนชั้นกลางในเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ วันที่ 14 ตุลาคม ได้เกิดเหตุการณ์ยิงนักศึกษาและประชาชนที่มารวมตัวกันกว่า 400,000 คน เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยบนท้องถนน จากประกาศของรัฐบาลมีผู้เสียชีวิต 77 คน สถานการณ์คลี่คลายลงเมื่อจอมพลถนอมออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

การเรียกร้องประชาธิปไตยที่รุนแรงขึ้น จุดชนวนให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านญี่ปุ่น มีกระแสต่อต้านธุรกิจญี่ปุ่นซึ่งเข้ามาลงทุนตามนโยบายของรัฐบาลทหารว่า เอาเปรียบแรงงานไทยด้วยการให้ค่าแรงที่ต่ำ เมื่อนายกรัฐมนตรี ทานากะ คาคุเอ มาเยือนไทยอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม พ.ศ. 2517 มีผู้ชุมนุมออกมาประท้วงห้อมล้อมบริเวณที่พักด้วยประเด็นว่า การมาครั้งนี้เป็น “การรุกรานทางเศรษฐกิจ”

ประจวบเหมาะกับวิกฤตขาดแคลนน้ำมัน ที่เกิดขึ้นช่วงการยุติสงครามตะวันออกกลางครั้งที่ 4 (October War) แม้ค่าครองชีพจะพุ่งสูงขึ้น แต่ค่าแรงขั้นต่ำของคนงาน ได้รับเพียงวันละไม่เกิน 12 บาทเท่านั้น

ช่วงนี้เองที่คุณพ่อนำละครเรื่อง “เปาบุ้นจิ้น” มาออกอากาศ และได้รับความนิยมจนกลายเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม เพราะเนื้อหาตรงใจผู้คนที่โหยหาความถูกต้องและยุติธรรมนั่นเอง

การคว่ำบาตรผลิตภัณฑ์ของญี่ปุ่นก็เริ่มขึ้นเช่นกัน แบรนด์ดังอย่าง Ajinomoto, Kao และ Panasonic ตกเป็นเป้าหมาย เครือสหพัฒน์ก็ได้ร่วมธุรกิจกับบริษัทญี่ปุ่นอยู่หลายแห่ง แต่โชคดีที่สินค้าของเราไม่ตกเป็นเป้าหมาย เพราะ Lion, Pias, Wacoal ฯลฯ ไม่ติดภาพลักษณ์ของความเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นมากนัก และถึงจะเป็นบริษัทร่วมทุนกับญี่ปุ่น แต่สหพัฒน์ก็เป็นคนดูแลด้านการบริหาร

ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะสามารถนิ่งนอนใจอยู่ได้ ด้วยไม่รู้ว่าจะพุ่งเป้ามาที่เราเมื่อไร บริษัทญี่ปุ่นในขณะนั้นเพิ่งเริ่มขยายออกต่างประเทศ แทนที่จะคิดหยั่งรากในประเทศไทย บริษัทญี่ปุ่นต้องการที่จะได้เงินลงทุนคืนเร็ว ๆ และชาวญี่ปุ่นที่ถูกส่งมาก็ต้องการกลับไปประเทศญี่ปุ่นโดยเร็วด้วย สมัยนั้นแนวคิดเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (CSR) ยังน้อยมาก

ประเทศไทยนับถือศาสนาพุทธ มีวัฒนธรรมของการทำบุญ ฉันแนะนำบริษัทคู่ค้าญี่ปุ่นว่า “จากนี้ไป การช่วยเหลือสังคมจะมีความสำคัญ” แม้ตอนแรกยังมีความรู้สึกกังขา แต่ไม่นานพวกเขาก็เข้าใจความตั้งใจของฉัน ตัวอย่างเช่น บริษัทที่ร่วมทุนกับ Lion ได้บริจาคผลิตภัณฑ์ของตนให้กับโรงเรียน และให้ความรู้แก่นักเรียนเกี่ยวกับวิธีการล้างมือและแปรงฟัน ซึ่งก็ยังเป็นกิจกรรมที่ยังคงดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน

ฉันคิดไตร่ตรองท่ามกลางสังคมไทยที่วุ่นวาย ดังที่เห็นได้จากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม หรือขบวนการต่อต้านญี่ปุ่น หลายบริษัทกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านแรงงาน มีการนัดหยุดงานหลายครั้งเพื่อเรียกร้องให้มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงาน

สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากการกระจุกตัวในกรุงเทพฯมากเกินไป เมื่อมองไปต่างประเทศ แทบไม่มีบริษัทไหนที่สำนักงานใหญ่และโรงงานตั้งอยู่ในเมืองด้วยกัน ไม่ช้าก็เร็วโรงงานจะต้องแยกตัวไปยังพื้นที่ชนบท เช่นนั้นแล้วทำไมเราถึงไม่เตรียมตัวเสียตั้งแต่ตอนนี้ล่ะ แนวคิดธุรกิจแบบใหม่ การพัฒนาและการจัดสร้างนิคมอุตสาหกรรมก็ผุดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย