กว่าจะเป็นเจ้าสัวสหพัฒน์ ประวัติ บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ตอนที่ 26

กว่าจะเป๋นเจ้าสัวสหพัฒน์

 

หมายเหตุ : อัตชีวประวัติ เจ้าสัวบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา แห่งเครือสหพัฒน์ ผ่านการสัมภาษณ์ และตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ Nikkei ในคอลัมน์ Watashi no Rirekisho ชื่อเรื่อง My Personal History ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2564 ตีพิมพ์เป็นภาษาไทย ในคอลัมน์ “กว่าจะเป็นเจ้าสัวสหพัฒน์” ติดตามอ่านได้ใน นสพ.ประชาชาติธุรกิจ และทางเว็บไซต์ www.prachachat.net

ตอนที่ 26 แรงผลักดันด้านการศึกษา

โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นที่มีนักเรียนกว่า 30,000 คน

โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับดีไซเนอร์

จากการที่ฉันและเครือสหพัฒน์สานสัมพันธ์กับญี่ปุ่นอย่างแน่นแฟ้นจนมาถึงจุดนี้ ฉันจึงอยากให้คนไทยได้รู้จักประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น และฉันคิดว่าการศึกษาก็เป็นหนึ่งในหลายสิ่งที่ควรทำ เพื่อตอกย้ำการเป็นสะพานเชื่อมธุรกิจระหว่างไทยและญี่ปุ่น

จุดเริ่มต้นคือ ช่วงกลางทศวรรษ พ.ศ. 2530 ฉันมีแผนพัฒนาที่ดินที่เรามีอยู่ขนาด 3.2 ตร.กม.ที่ศรีราชา ในภาคตะวันออกที่เราได้เริ่มพัฒนาสวนอุตสาหกรรมไปแล้ว ฉันคิดว่าเราควรเชิญโรงเรียนนานาชาติมาเปิด เนื่องจากในขณะนั้นประเทศไทยมีโรงเรียนนานาชาติน้อยมาก

ครั้งแรกฉันติดต่อไปที่มหาวิทยาลัยเอกชน Keio โดยผ่านกรรมการของบริษัทไลอ้อนที่สนิทสนมกันแต่ถูกปฏิเสธ ต่อมาฉันได้ไปพบอธิการบดี ทาคายาสุ โอคุชิมะ แห่งมหาวิทยาลัย Waseda ซึ่งผ่านการแนะนำจาก Wacoal และในเดือนเมษายนปี พ.ศ. 2540 คุณโอคุชิมะ
บินมาประเทศไทย เราจึงได้พาไปดูสถานที่ แต่ทว่า 3 เดือนต่อมาวิกฤตการณ์สกุลเงินเอเชียได้ปะทุขึ้น เรื่องการสร้างโรงเรียนจึงหยุดไป

เราเริ่มติดต่ออีกครั้งในปี พ.ศ. 2545 ฉันยื่นข้อเสนอไปให้อธิการบดีคนใหม่ คัตสึฮิโกะ ชิราอิ แต่จังหวะไม่ดี วาเซดะเพิ่งลงทุนกับโรงเรียนมัธยมเอกชนญี่ปุ่นในสิงคโปร์และตั้งให้เป็นโรงเรียนสาขา หลังจากหารือกันแล้วจึงตัดสินใจว่าจะสร้างเป็นโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น เราจึงก่อตั้งบริษัทร่วมทุนโรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่น “วาเซดะ เอ็ดดูเคชั่น (ประเทศไทย)” ขึ้น โดยมีสำนักงานตั้งอยู่
ใจกลางกรุงเทพฯ

ในเวลานั้นประเทศไทยยังขาดโรงเรียนที่นักเรียนสามารถเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างจริงจัง ฉันอยากที่จะสร้างสถานที่แบบนั้นให้กับเด็กไทย ฝ่ายวาเซดะที่ให้ความร่วมมือในการจัดหลักสูตรและจัดส่งครู ก็มีเป้าหมายที่จะสานสัมพันธ์กับกลุ่มนักเรียนไทย เพื่อไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นเช่นกัน ซึ่งขณะนั้นหากจะเดินทางไปญี่ปุ่นยุ่งยาก ยังจำเป็นต้องขอวีซ่า

ด้วยมาตรฐานการเรียนภาษาญี่ปุ่นของเราสูงมาก ทำให้มีนักเรียนมาสมัครน้อย ฉันให้กำลังใจอาจารย์โดยบอกว่า “อย่ากังวลเรื่องขาดทุน ขอให้อาจารย์ให้การศึกษาที่มีคุณภาพก็พอแล้ว”

แทนที่จะลดค่าเล่าเรียนเพื่อเพิ่มจำนวนนักเรียน ในทางกลับกันเรากำหนดค่าเรียนให้สูงและเลือกผู้ที่มีความตั้งใจจริง ๆ จุดมุ่งหมายคือ “เรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นได้มากกว่าไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น” ลูก ๆ ของฉันเองก็เรียนภาษาญี่ปุ่นที่นี่ด้วยเช่นกัน

โรงเรียนเริ่มมีชื่อเสียงและได้รับความนิยมมากขึ้น จึงเปิดสาขาที่ศรีราชาในปี พ.ศ. 2554 และที่เชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2558 มีครูชาวญี่ปุ่นมากกว่า 20 คน และก่อนการระบาดของไวรัสโคโรนาเรามีนักเรียนประมาณ 1,000 คน จนถึงปัจจุบันเราได้ผลิตบุคลากรที่รู้ภาษาญี่ปุ่นไปมากกว่า 30,000 คน

ในปี พ.ศ. 2548 ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะสร้างดีไซเนอร์ชาวไทย ฉันจึงจัดตั้งโรงเรียนด้านแฟชั่นร่วมกับโรงเรียนเฉพาะทางที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นคือ Bunka Fashion College ขึ้นในกรุงเทพฯในฐานะโรงเรียนสาขาต่างประเทศ หรือจะเรียกว่าเป็นแฟรนไชส์ก็ได้ โรงเรียนที่ก่อตั้งนี้เครือสหพัฒน์เป็นผู้ลงทุนทั้งหมด ในขณะที่ทาง Bunka Fashion College เป็นผู้กำหนดหลักสูตรและรับคุณครูชาวไทยไปฝึกอบรมที่ประเทศญี่ปุ่น

หากถามว่าทำไมถึงเป็นโรงเรียนจากญี่ปุ่น ไม่ใช่อิตาลีหรือฝรั่งเศสซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแฟชั่น นั่นเป็นเพราะสายสัมพันธ์กับผู้ร่วมทุนของเรานั่นเอง ฉันได้รับข้อเสนอแนะจาก Itokin บริษัทเครื่องแต่งกายรายใหญ่ว่า “หากจะยกระดับอุตสาหกรรมแฟชั่นของไทย จะต้องเริ่มจากการให้การศึกษากับคนด้วย” ซึ่งฉันก็เห็นด้วย และด้วยความพยายามของเรา เราจึงสามารถเชื้อเชิญโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่ผลิตนักออกแบบระดับโลกมากมาย เช่น Yohji Yamamoto และ Kenzo Takada มาได้

ประเทศไทยในขณะนั้น วิชาการออกแบบแฟชั่นมีสอนในมหาวิทยาลัยบางแห่งเท่านั้น หากอยากศึกษาแฟชั่นอย่างจริงจังต้องไปศึกษาต่อต่างประเทศ การเข้ามาของ Bunka Fashion College เปิดประตูให้คนหนุ่มสาวจำนวนมากที่สนใจงานออกแบบ เทคโนโลยีแพตเทิร์นกระดาษแบบญี่ปุ่นนั้นมีข้อดีคือ สามารถนำไปใช้กับคนไทยที่มีรูปร่างใกล้เคียงกันได้ทันที


หลายคนเรียนรู้พื้นฐานในกรุงเทพฯ และไปศึกษาต่อที่โรงเรียนหลักในโยโยงิ กรุงโตเกียว ตั้งแต่เปิดโรงเรียนมา 16 ปี มีผู้เรียนจบไปแล้วเกือบ 10,000 คน ฉันรู้สึกภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในโลกแฟชั่นของไทย