เตือนภัย

Market-think
สรกล อดุลยานนท์

เหมือนกับนัดไว้เลยครับ

พ้นปีใหม่ปั๊บ เจ้า “โอมิครอน” ก็มาเลย

จำนวนคนติดเชื้อโควิดที่พุ่งจาก 3,000 เป็น 5,000 คนภายในเวลา 1 วัน เป็นตัวเลขน่ากลัวมาก

และคาดว่าจะน่ากลัวยิ่งกว่านี้อีก

รัฐบาลต้องยกระดับมาตรการเป็นระดับ 4 แล้ว

Advertisment

ในขณะที่หลายคนจินตนาการถึงภาพเมื่อกลางปีที่แล้ว ตอนที่ “โควิด” ระบาดอย่างหนัก

แต่ผมรู้สึกว่าครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนหลายเรื่อง

เรื่องแรก ข้อมูลจากต่างประเทศยืนยันแล้วว่าความร้ายแรงของ “โอมิครอน” ต่ำกว่า “เดลต้า” มาก

แพร่เชื้อได้เร็ว

Advertisment

แต่ความรุนแรงน้อยกว่ากันมาก

บางคนถึงขั้นมองโลกในแง่ดีว่า “โอมิครอน” จะเป็น “เทพเจ้า” ทำให้ “โควิด” กลายเป็นโรคประจำถิ่น

เพราะคนติดกันเยอะ ๆ ก็จะเกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” ขึ้นมา

เรื่องที่สอง คุณหมอและผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข มีท่าทีประนีประนอมมากขึ้น

ไม่ “การ์ดสูง” แบบปลอดภัยไว้ก่อน

หรือใช้กฎเหล็กโดยไม่สนใจผลข้างเคียงทางเศรษฐกิจ

ครั้งนี้ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งคุณหมอที่มีบทบาทกำหนดนโยบายแทบทุกคนออกมาให้ข้อมูลเรื่อง “โอมิครอน” แบบระมัดระวัง

ยอมรับว่าแพร่เชื้อได้เร็ว

แต่ระดับความรุนแรงนั้นน้อยกว่ามาก

มีการยกข้อมูลจากแอฟริกาใต้ และผลวิจัยจากต่างประเทศมายืนยัน

ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขกล้าประกาศเลยว่าจะไม่มีล็อกดาวน์เหมือนครั้งก่อน

ผมเชื่อว่าทุกคนรู้แล้วว่านโยบายแบบ “ปลอดภัยไว้ก่อน” โดยให้ความสำคัญกับเรื่องสาธารณสุขอย่างเดียว

ส่งผลร้ายทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง

ตอนนี้ทุกคนคิดเหมือนกันแล้วว่าจะต้องอยู่กับ “โควิด” ให้ได้

เราอาจต้องเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับตัวเลข “ผู้เสียชีวิต” หรือ “ป่วยหนัก” มากกว่าจำนวน “คนติดโควิด”

เพราะถ้าอาการไม่ร้ายแรง “โควิด” ก็ประมาณ “ไข้หวัดกลาง”

คือ แรงกว่า “ไข้หวัด” ธรรมดา

แต่เบากว่า “ไข้หวัดใหญ่”

ในมุมภาคเศรษฐกิจ ผมคิดว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะน้อยกว่าปีที่แล้วมาก

เพราะภาครัฐมี “สติ” และ “บทเรียน” แล้วว่าการล็อกดาวน์ส่งผลเสียหายมากแค่ไหน

ระมัดระวังมากตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรีจนถึงข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข

แต่ด้วยประสบการณ์เก่าที่เจ็บปวดของคนส่วนใหญ่ จำเป็นที่ต้องบริหาร “ความรู้สึก” ของสังคมให้ดี

ต้องให้ “ข้อมูล” เรื่องคนติดเชื้อโควิด “โอมิครอน” อย่างละเอียดและรวดเร็ว

ตอนนี้เรามีข้อมูลพอสมควรแล้วที่จะบอกได้ว่าคนที่ติด “โอมิครอน”ฉีดวัคซีนแล้วกี่คน ไม่ฉีดกี่คน

คนที่ติดเชื้อ มีกี่คนที่อาการหนักต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ กี่คนที่ต้องนอนโรงพยาบาล กี่คนที่ใช้เวลาแค่ 4-5 วันก็หาย ฯลฯ

ข้อมูลละเอียด ๆ แบบนี้จะทำให้ “จินตนาการ” จากภาพเมื่อปีที่แล้วบรรเทาเบาบางลง

และเมื่อข้อมูลชัด มาตรการต่าง ๆ ก็ต้องปรับใหม่

เช่น การกักตัว 14 วันที่เคยใช้ในอดีต ต้องมาดูว่าสอดคล้องกับความร้ายแรงของ “โอมิครอน” หรือไม่

เพราะที่สหรัฐอเมริกา เขาให้กักตัวที่บ้านแค่ 5 วัน

ถ้าตรวจ ATK แล้วไม่เป็นอะไรก็ให้ใช้ชีวิตได้ตามปกติแต่ต้องใส่หน้ากาก

ครบ 5 วัน ตรวจอีกครั้ง

เขาทำเช่นนี้เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน

เพราะถ้ากักตัว 14 วัน แรงงานขาดแคลนแน่ เพราะ “โอมิครอน” แพร่เชื้อได้เร็ว

ในมุมกลับถ้าข้อมูลตรงกันข้าม“โอมิครอน” ร้ายแรงกว่าที่คิด

มาตรการต่าง ๆ ก็ต้องเข้มขึ้นทันที

แบบนี้ไม่มีใครว่าอะไร