ส่องกำไรหุ้นท่องเที่ยวครึ่งหลังปี 2566 เมื่อนักท่องเที่ยวจีนไม่มาตามเป้า

สวัสดีครับ Prachachat Wealth เล่าเรื่องการลงทุน สัปดาห์นี้ จะมาเจาะลึกหุ้นท่องเที่ยว ซึ่งภาคท่องเที่ยวในเวลานี้ ถือเป็นเครื่องยนต์หลักในการช่วยผลักดันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

แม้ว่าขณะนี้นักท่องเที่ยวจีนอาจจะเข้ามาไม่ได้เป็นไปตามเป้า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก็ได้มีการปรับคาดการณ์นักท่องเที่ยวจีนปีนี้ลงเหลือระดับ 5 ล้านคน ซึ่งถือว่ายังมีความเป็นไปได้ยาก

เราจะไปติดตามกันว่าในช่วงครึ่งปีหลัง หุ้นตัวไหนจะได้ประโยชน์ หรือโดนเอฟเฟ็กต์จากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน

โดยวันนี้ได้มีโอกาสร่วมพูดคุยกับ คุณศุภชัย วัฒนวิเทศกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ จากบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด

Q : ภาพรวมเศรษฐกิจไทย และภาคท่องเที่ยวครับ ช่วงที่ผ่านมาและช่วงที่เหลือของปี เป็นอย่างไรบ้าง

Advertisment

ปีนี้จริง แล้วคนมองว่านักท่องเที่ยวอาจจะดูน้อยนะ แต่ในความเป็นจริง ถ้าเราดูเฉพาะครึ่งแรกของปีนี้ต้องบอกว่าการท่องเที่ยวไทยเป็นพระเอกที่แบก GDP ไทย ภาพของทั้งปีตลาดมอง GDP เติบโต 3.5-3.8% ซึ่งถ้าเราไปดู breakdown ตัวเลขส่งออกไทยปีนี้ไม่ค่อยดี ติดลบ 5% แต่นักท่องเที่ยวครึ่งแรกปี 2565 อยู่แค่ 2 ล้านราย แต่ครึ่งแรกปีนี้เกือบ 13 ล้านราย ฉะนั้นต้องบอกว่า นักท่องเที่ยวอาจจะมาไม่ทันใจ แต่การท่องเที่ยวไทยถือเป็นสาระสำคัญที่ช่วยแบก GDP ไทย

การท่องเที่ยวพระเอก แบก GDP

ตัวเลขของนักท่องเที่ยว ตอนเกิดโควิด-19 ประมาณสัก 40 ล้านราย แต่ว่าปีนี้ตลาดมองไว้อยู่ที่ 28-30 ล้านราย ซึ่งถ้าเรามองเป็นรายเดือนก็ต้องบอกว่า จากระดับเดือนละเกือบ 4 ล้านราย ตอนนี้เรากลับมาอยู่ที่เดือนละประมาณ 2 ล้านกว่า ต่อเดือน ซึ่งก็ขึ้นมาต่อเนื่อง เพียงแต่ว่ายังไม่ถึงจุดที่กลับไปสู่ภาวะก่อนเกิดโควิด

ทีนี้ถ้าเราดูตัวเลขแต่ละประเทศ เอาแค่ 5 ประเทศใหญ่สุด ที่เป็นนักท่องเที่ยวที่มาประเทศไทย ก็จะมี จีนมาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย ต้องบอกว่า ทุกประเทศ ยกเว้นประเทศจีน กลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดโควิด-19 หมดแล้ว

นักท่องเที่ยวจีนมาน้อยกว่าที่ตลาดคาด และก็ยังเป็นตลาดเดียวที่ยังต่ำกว่าเลเวลปกติ ต้องมี 6-7 ล้านราย ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 2 ล้านรายเท่านั้นเอง (Year to Date) สำหรับตัวเลข 7 เดือน

Advertisment

ซึ่งถ้าเจาะเฉพาะจีนอย่างเดียว ปกติเดือนหนึ่งต้องเกือบล้านราย ตอนนี้ขึ้นมาจากระดับแสนรายในช่วงเดือน .. 2566 “ตอนนี้ขึ้นมาอยู่เกือบ 4 แสน ก็ยังขาดอยู่พอสมควร 50-60% ของระดับปกติ”

โดยเบื้องต้นข้อ 1.จีดีพีปีนี้ การท่องเที่ยวยังเป็นพระเอก แม้ว่าจะไม่ทันใจ แต่ว่าเป็นตัวค้ำสำคัญ ครึ่งหลังก็น่าจะยังมีบทบาทค่อนข้างเยอะ ข้อ 2.นักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ in line ไม่ได้ต่ำกว่าที่ตลาดคาดเอาไว้มาก แต่ไส้ในไม่เหมือนกับที่ตลาดคาด ตลาดคาดว่าจีนจะเป็นพระเอก แต่ปรากฏว่าประเทศ CLMV กลับเป็นพระเอกมากกว่า

Q : นักท่องเที่ยวจีนไม่มาตามเป้า มีผลต่อทิศทางกำไรของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวอย่างไรบ้าง

ปกติคนจีน spending per head เวลาเขามาเที่ยวและใช้เงิน ใช้หนักกว่าชาติอื่น ซึ่งตอนนี้ต้องบอกว่า คนจีนส่วนใหญ่เขาไปยุโรปก่อน อาจจะเพราะโควิด-19 ล็อกเขานานมาก เขาอยากจะเที่ยว long route ก่อนก็คือเดินทางไกล ถ้าเราไปดูพวกสินค้าแฟชั่นที่เป็นชั้นนำในยุโรปอย่า LOUIS VUITTON ยอดขายทำนิวไฮไปหมดแล้ว เพราะว่าแรงซื้อมหาศาลจริง

ดังนั้นคนจีนไม่ได้ไม่มา เพียงเขามาหาเราช้าหน่อย นี่คือปัจจัยที่ 1 ที่เกิดขึ้น ปัจจัยที่ 2 ที่ผมอยากจะให้น้ำหนักเอาไว้ก็คือเรื่องของเศรษฐกิจจีน ปีนี้ค่อนข้างซอฟต์กว่าที่ตลาดคาดไว้ค่อนข้างเยอะ

คือเศรษฐกิจจีนปีนี้ค่อนข้างจะมีดาวน์ไซด์จากประมาณการของนักวิเคราะห์ในตลาด รวมถึงนักเศรษฐศาสตร์ด้วย เหตุผลหลัก ก็คือปัญหารุมล้อมหลายด้าน ทั้งเรื่องตัวเลขการว่างงานของคนจบใหม่ ปัญหาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ก็ไม่แปลกที่คนกลุ่มหนึ่งที่คิดว่าจะมาเที่ยวได้ก็อาจจะชะลอการท่องเที่ยวไปก่อน เพราะว่าการบริโภค (Consumption) เขาอ่อนแอ (weak)

ส่วนขั้นตอนของเราด้วย การที่จีนเขาเปิดประเทศฉุกละหุกปีนี้ ต้องบอกว่า แรก สายการบินของเรา หรือการท่าฯของเรา ก็อาจจะยังไม่ได้มีการรองรับไฟลต์บินที่มากเพียงพอจากเมืองจีน

หรือว่าการขอวีซ่ายังมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและยาวนาน ก่อนหน้านี้เราก็มีการควบคุมเพิ่มขึ้น เพราะเรามีปัญหาเรื่องทุนจีนสีเทา ก็เลยทำให้ตลาดจีนแทนที่จะฟื้นเร็ว เหมือนกับที่ตลาดคาดหวังยังไม่ได้เกิดขึ้น

 หุ้นจะได้รับผลกระทบยังไง คนที่มีจีนเยอะหน่อยก็มีโอกาสที่จะเหนื่อยถ้าเกิดปรับตัวไม่ได้ ผู้ประกอบการแต่ละรายที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่าง CENTEL, ERW ส่วนใหญ่จะอยู่ในตลาดไทย 90% ซึ่งการท่องเที่ยวไทยพึ่งจีนพอสมควร ถ้าเกิดจีนฟื้นช้า เราได้รับผลกระทบ แต่ MINT อยู่ในยุโรป 55% ดังนั้นผลกระทบของเขาก็จะน้อยกว่า

หรือว่าผู้เล่นบางรายที่อยู่ในตลาดไทย 100% เช่น VRANDA ซึ่งเป็นโรงแรมกึ่งบูทีค หรือ SPA ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำบริการเกี่ยวกับการให้นวดสปา ก็อาจจะได้รับผลกระทบมากหน่อย ถ้าเกิดจีนมาช้า

ทีนี้การที่จีนมาช้า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับกลุ่มจริง หลัก เลยคือ ยอดเม็ดเงินที่เข้าไปหาผู้ประกอบการอาจจะน้อยลง อย่างที่ผมเล่า นักท่องเที่ยวจีน spending เขาสูง แม้ว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวเท่ากัน แต่ถ้าชาติที่มาเขาอาจจะใช้จ่ายไม่เท่า โดยเฉพาะถ้าเป็นคนมาเลเซียมาเที่ยว เขามาแป๊บ เดียว เขาก็กลับ

ดังนั้นผลกระทบในครึ่งหลัง ถ้าเข้าสู่ไฮซีซั่นของไทย ซึ่งเป็นไตรมาส 4 ตลาดคาดหวังว่ากลุ่มจะมีการฟื้นตัวที่ดี ถ้าไม่มีแรงส่งจากจีนก็อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ผมยังคิดว่าจีนมีโอกาสจะกลับมา เพียงแต่อาจจะกลับมาไม่ทันใจตลาด และกลุ่มอื่น อาจจะโตมากกว่าที่ตลาดคาดเข้ามาชดเชยได้ โดยรวมก็ยังไม่ได้คิดว่าตลาดจะมีดาวน์ไซด์ที่มีประมาณอะไรที่มีนัยสำคัญ

ขณะที่เรื่องผลประกอบการไตรมาส 2 ทุก บริษัทที่เราคัฟเวอร์ ก็จะมีทั้งตัวแอร์พอร์ต หรือ AOT ซึ่งเป็นการท่าที่เป็นประตูเข้าสู่ประเทศ และมีตัวโรงแรมขนาดใหญ่ มีโรงแรมขนาดเล็ก มีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่าง SPA เป็นต้น

ภาพรวมต้องบอกว่า ในแง่ของ QOQ ผลประกอบการซอฟต์ลง เพราะเป็นโลว์ซีซั่นของประเทศไทย เพียงแต่ว่าในแง่ YOY ดีขึ้น เพราะว่าฐานปีที่แล้ว เรายังไม่เปิดประเทศแบบเต็มตัว ดังนั้นเป็นคนละฐานกัน

แต่มีสปอต 2-3 ประเด็น ที่เชื่อว่ามีประโยชน์ ประเด็นที่ 1 ถ้าท่านดูงบฯ ตัวที่อยากจะไฮไลต์คือ ERW งบฯดีกว่าคาดมาก ขณะที่ CENTEL งบฯต่ำกว่าคาดมาก เป็นโรงแรมในไทยเหมือนกัน แต่ต่างกัน ERW โรงแรมส่วนใหญ่อยู่ในเมือง อยู่ในกรุงเทพฯ แปลว่านักท่องเที่ยวที่กลับมาในช่วงแรก คือบินมาและก็มาพักในกรุงเทพฯ และในเมืองใหญ่

VRANDA ซึ่งอยู่ตามหัวเมืองรองก็ค่อนข้างซอฟต์ แต่ CENTEL กับ VRANDA เขามีปัจจัยเฉพาะตัว VRANDA ยอดโอนอสังหาริมทรัพย์ลดลง ทำให้ไตรมาสนี้พลิกมาเป็นขาดทุน

ส่วน CENTEL เปิดโรงแรมใหม่ที่โอซากาเพิ่มเติม และมีค่าเช่า เซ็นทาราหัวหินด้วย แต่โดยภาพรวมก็ยังเป็นเทรนด์ที่ผมเห็นชัดก็คือ คนที่เกาะไปกับกรุงเทพฯแข็งแกร่ง คนที่อยู่ต่างจังหวัดเยอะ ยังฟื้นช้า

ที่น่าสนใจคือ MINT กำไรดีระเบิดเถิดเทิง โตทั้ง QOQ และ YOY เหตุผลเพราะว่าเขาอยู่ในยุโรป ยุโรปดีมาก ตอนนี้ RevPAR (ค่าเช่าต่อคืนต่อห้อง x อัตราการใช้งาน) ซึ่งเป็น indicator สำคัญที่สุดของกลุ่มตอนนี้สูงกว่าพรีโควิดเลเวลไปเยอะมากแล้ว

ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์มากคือ SPA เนเจอร์ธุรกิจ 50% เป็นธุรกิจที่เสิร์ฟลูกค้าจีนเป็นหลัก แต่ตอนนี้จีนไม่มา แต่ปรากฏว่า SPA ผลประกอบการดีกว่าที่ตลาดคาด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ SPA ไปขอลดค่าเช่าในพื้นที่เช่าหลาย พื้นที่ได้สำเร็จ และขึ้นอัตราค่าบริการได้ และหาลูกค้าที่เป็นตลาดอื่น มาทดแทนจีนได้

Q : เทคนิคสำหรับนักลงทุนช่วงระยะสั้น ตัวไหนที่ดูเป็น Top Pick ที่น่าสนใจลงทุน

ผมเชื่อว่า MINT จะแข็งกว่ากลุ่ม เพราะเป็นธุรกิจที่อิงกับยุโรปเยอะ และยุโรปกำลังอยู่ในช่วงที่ดี ดังนั้นไตรมาส 3  MINT จะเด่นที่สุด ขณะที่ตัวรอง ในประเทศไทย CENTEL ตั้งแต่ผลประกอบการผิดคาด หุ้นถอยลงมาลึกเยอะมาก เป็น 10 บาท ภายในพริบตา ถือว่าลงเยอะมาก

MINT เด่น CENTEL พอรับได้

เพียงแต่ว่าราคาหุ้นแถวนี้จะเริ่มยืนได้ แล้วถ้าเกิดจีนกลับมาได้พอสมควร คิดว่า CENTEL มีโอกาสจะไต่กลับขึ้นไปได้ เพียงแต่ช้าหน่อย เป็นตัวเลือกที่พอรับได้ แต่ถ้าท่านมองระยะสั้นไป MINT ก่อน ถ้าท่านมองจะเล่นไฮซีซั่นไทย CENTEL ถอยลงมาลึก ยังพอเป็นไปได้ ราคาน่าสนใจสะสมอยู่ที่ประมาณ 41-42 บาท พอเป็นไปได้