สวัสดีครับ Prachachat Wealth เล่าเรื่องการลงทุน สัปดาห์นี้ จะมาเจาะลึกหุ้นท่องเที่ยว ซึ่งภาคท่องเที่ยวในเวลานี้ ถือเป็นเครื่องยนต์หลักในการช่วยผลักดันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
แม้ว่าขณะนี้นักท่องเที่ยวจีนอาจจะเข้ามาไม่ได้เป็นไปตามเป้า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก็ได้มีการปรับคาดการณ์นักท่องเที่ยวจีนปีนี้ลงเหลือระดับ 5 ล้านคน ซึ่งถือว่ายังมีความเป็นไปได้ยาก
- ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ตรวจผลรางวัล งวด 16 พ.ค. 2567
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ “ร้อยตรีหญิงจุฑารัตน์ เพชรโสม” เป็นร้อยโทหญิง
- ราคาทองเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์-ทองคำเพื่อลงทุนในไทยพุ่ง
เราจะไปติดตามกันว่าในช่วงครึ่งปีหลัง หุ้นตัวไหนจะได้ประโยชน์ หรือโดนเอฟเฟ็กต์จากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน
โดยวันนี้ได้มีโอกาสร่วมพูดคุยกับ คุณศุภชัย วัฒนวิเทศกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ จากบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด
Q : ภาพรวมเศรษฐกิจไทย และภาคท่องเที่ยวครับ ช่วงที่ผ่านมาและช่วงที่เหลือของปี เป็นอย่างไรบ้าง
ปีนี้จริง ๆ แล้วคนมองว่านักท่องเที่ยวอาจจะดูน้อยนะ แต่ในความเป็นจริง ถ้าเราดูเฉพาะครึ่งแรกของปีนี้ต้องบอกว่าการท่องเที่ยวไทยเป็นพระเอกที่แบก GDP ไทย ภาพของทั้งปีตลาดมอง GDP เติบโต 3.5-3.8% ซึ่งถ้าเราไปดู breakdown ตัวเลขส่งออกไทยปีนี้ไม่ค่อยดี ติดลบ 5% แต่นักท่องเที่ยวครึ่งแรกปี 2565 อยู่แค่ 2 ล้านราย แต่ครึ่งแรกปีนี้เกือบ 13 ล้านราย ฉะนั้นต้องบอกว่า นักท่องเที่ยวอาจจะมาไม่ทันใจ แต่การท่องเที่ยวไทยถือเป็นสาระสำคัญที่ช่วยแบก GDP ไทย
การท่องเที่ยวพระเอก แบก GDP
ตัวเลขของนักท่องเที่ยว ตอนเกิดโควิด-19 ประมาณสัก 40 ล้านราย แต่ว่าปีนี้ตลาดมองไว้อยู่ที่ 28-30 ล้านราย ซึ่งถ้าเรามองเป็นรายเดือนก็ต้องบอกว่า จากระดับเดือนละเกือบ 4 ล้านราย ตอนนี้เรากลับมาอยู่ที่เดือนละประมาณ 2 ล้านกว่า ๆ ต่อเดือน ซึ่งก็ขึ้นมาต่อเนื่อง เพียงแต่ว่ายังไม่ถึงจุดที่กลับไปสู่ภาวะก่อนเกิดโควิด
ทีนี้ถ้าเราดูตัวเลขแต่ละประเทศ เอาแค่ 5 ประเทศใหญ่สุด ที่เป็นนักท่องเที่ยวที่มาประเทศไทย ก็จะมี จีนมาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย ต้องบอกว่า ทุกประเทศ ยกเว้นประเทศจีน กลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดโควิด-19 หมดแล้ว
นักท่องเที่ยวจีนมาน้อยกว่าที่ตลาดคาด และก็ยังเป็นตลาดเดียวที่ยังต่ำกว่าเลเวลปกติ ต้องมี 6-7 ล้านราย ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 2 ล้านรายเท่านั้นเอง (Year to Date) สำหรับตัวเลข 7 เดือน
ซึ่งถ้าเจาะเฉพาะจีนอย่างเดียว ปกติเดือนหนึ่งต้องเกือบล้านราย ตอนนี้ขึ้นมาจากระดับแสนรายในช่วงเดือน ม.ค. 2566 “ตอนนี้ขึ้นมาอยู่เกือบ 4 แสน ก็ยังขาดอยู่พอสมควร 50-60% ของระดับปกติ”
โดยเบื้องต้นข้อ 1.จีดีพีปีนี้ การท่องเที่ยวยังเป็นพระเอก แม้ว่าจะไม่ทันใจ แต่ว่าเป็นตัวค้ำสำคัญ ครึ่งหลังก็น่าจะยังมีบทบาทค่อนข้างเยอะ ข้อ 2.นักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ in line ไม่ได้ต่ำกว่าที่ตลาดคาดเอาไว้มาก แต่ไส้ในไม่เหมือนกับที่ตลาดคาด ตลาดคาดว่าจีนจะเป็นพระเอก แต่ปรากฏว่าประเทศ CLMV กลับเป็นพระเอกมากกว่า
Q : นักท่องเที่ยวจีนไม่มาตามเป้า มีผลต่อทิศทางกำไรของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวอย่างไรบ้าง
ปกติคนจีน spending per head เวลาเขามาเที่ยวและใช้เงิน ใช้หนักกว่าชาติอื่น ซึ่งตอนนี้ต้องบอกว่า คนจีนส่วนใหญ่เขาไปยุโรปก่อน อาจจะเพราะโควิด-19 ล็อกเขานานมาก เขาอยากจะเที่ยว long route ก่อนก็คือเดินทางไกล ๆ ถ้าเราไปดูพวกสินค้าแฟชั่นที่เป็นชั้นนำในยุโรปอย่าง LOUIS VUITTON ยอดขายทำนิวไฮไปหมดแล้ว เพราะว่าแรงซื้อมหาศาลจริง ๆ
ดังนั้นคนจีนไม่ได้ไม่มา เพียงเขามาหาเราช้าหน่อย นี่คือปัจจัยที่ 1 ที่เกิดขึ้น ปัจจัยที่ 2 ที่ผมอยากจะให้น้ำหนักเอาไว้ก็คือเรื่องของเศรษฐกิจจีน ปีนี้ค่อนข้างซอฟต์กว่าที่ตลาดคาดไว้ค่อนข้างเยอะ
คือเศรษฐกิจจีนปีนี้ค่อนข้างจะมีดาวน์ไซด์จากประมาณการของนักวิเคราะห์ในตลาด รวมถึงนักเศรษฐศาสตร์ด้วย เหตุผลหลัก ๆ ก็คือปัญหารุมล้อมหลายด้าน ทั้งเรื่องตัวเลขการว่างงานของคนจบใหม่ ปัญหาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ก็ไม่แปลกที่คนกลุ่มหนึ่งที่คิดว่าจะมาเที่ยวได้ก็อาจจะชะลอการท่องเที่ยวไปก่อน เพราะว่าการบริโภค (Consumption) เขาอ่อนแอ (weak)
ส่วนขั้นตอนของเราด้วย การที่จีนเขาเปิดประเทศฉุกละหุกปีนี้ ต้องบอกว่า แรก ๆ สายการบินของเรา หรือการท่าฯของเรา ก็อาจจะยังไม่ได้มีการรองรับไฟลต์บินที่มากเพียงพอจากเมืองจีน
หรือว่าการขอวีซ่ายังมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและยาวนาน ก่อนหน้านี้เราก็มีการควบคุมเพิ่มขึ้น เพราะเรามีปัญหาเรื่องทุนจีนสีเทา ก็เลยทำให้ตลาดจีนแทนที่จะฟื้นเร็ว เหมือนกับที่ตลาดคาดหวังยังไม่ได้เกิดขึ้น
หุ้นจะได้รับผลกระทบยังไง คนที่มีจีนเยอะหน่อยก็มีโอกาสที่จะเหนื่อยถ้าเกิดปรับตัวไม่ได้ ผู้ประกอบการแต่ละรายที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่าง CENTEL, ERW ส่วนใหญ่จะอยู่ในตลาดไทย 90% ซึ่งการท่องเที่ยวไทยพึ่งจีนพอสมควร ถ้าเกิดจีนฟื้นช้า เราได้รับผลกระทบ แต่ MINT อยู่ในยุโรป 55% ดังนั้นผลกระทบของเขาก็จะน้อยกว่า
หรือว่าผู้เล่นบางรายที่อยู่ในตลาดไทย 100% เช่น VRANDA ซึ่งเป็นโรงแรมกึ่งบูทีค หรือ SPA ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำบริการเกี่ยวกับการให้นวดสปา ก็อาจจะได้รับผลกระทบมากหน่อย ถ้าเกิดจีนมาช้า
ทีนี้การที่จีนมาช้า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับกลุ่มจริง ๆ หลัก ๆ เลยคือ ยอดเม็ดเงินที่เข้าไปหาผู้ประกอบการอาจจะน้อยลง อย่างที่ผมเล่า นักท่องเที่ยวจีน spending เขาสูง แม้ว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวเท่ากัน แต่ถ้าชาติที่มาเขาอาจจะใช้จ่ายไม่เท่า โดยเฉพาะถ้าเป็นคนมาเลเซียมาเที่ยว เขามาแป๊บ ๆ เดียว เขาก็กลับ
ดังนั้นผลกระทบในครึ่งหลัง ถ้าเข้าสู่ไฮซีซั่นของไทย ซึ่งเป็นไตรมาส 4 ตลาดคาดหวังว่ากลุ่มจะมีการฟื้นตัวที่ดี ถ้าไม่มีแรงส่งจากจีนก็อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ผมยังคิดว่าจีนมีโอกาสจะกลับมา เพียงแต่อาจจะกลับมาไม่ทันใจตลาด และกลุ่มอื่น ๆ อาจจะโตมากกว่าที่ตลาดคาดเข้ามาชดเชยได้ โดยรวมก็ยังไม่ได้คิดว่าตลาดจะมีดาวน์ไซด์ที่มีประมาณอะไรที่มีนัยสำคัญ
ขณะที่เรื่องผลประกอบการไตรมาส 2 ทุก ๆ บริษัทที่เราคัฟเวอร์ ก็จะมีทั้งตัวแอร์พอร์ต หรือ AOT ซึ่งเป็นการท่าที่เป็นประตูเข้าสู่ประเทศ และมีตัวโรงแรมขนาดใหญ่ มีโรงแรมขนาดเล็ก มีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่าง SPA เป็นต้น
ภาพรวมต้องบอกว่า ในแง่ของ QOQ ผลประกอบการซอฟต์ลง เพราะเป็นโลว์ซีซั่นของประเทศไทย เพียงแต่ว่าในแง่ YOY ดีขึ้น เพราะว่าฐานปีที่แล้ว เรายังไม่เปิดประเทศแบบเต็มตัว ดังนั้นเป็นคนละฐานกัน
แต่มีสปอต 2-3 ประเด็น ที่เชื่อว่ามีประโยชน์ ประเด็นที่ 1 ถ้าท่านดูงบฯ ตัวที่อยากจะไฮไลต์คือ ERW งบฯดีกว่าคาดมาก ๆ ขณะที่ CENTEL งบฯต่ำกว่าคาดมาก ๆ เป็นโรงแรมในไทยเหมือนกัน แต่ต่างกัน ERW โรงแรมส่วนใหญ่อยู่ในเมือง อยู่ในกรุงเทพฯ แปลว่านักท่องเที่ยวที่กลับมาในช่วงแรก คือบินมาและก็มาพักในกรุงเทพฯ และในเมืองใหญ่ ๆ
VRANDA ซึ่งอยู่ตามหัวเมืองรองก็ค่อนข้างซอฟต์ แต่ CENTEL กับ VRANDA เขามีปัจจัยเฉพาะตัว VRANDA ยอดโอนอสังหาริมทรัพย์ลดลง ทำให้ไตรมาสนี้พลิกมาเป็นขาดทุน
ส่วน CENTEL เปิดโรงแรมใหม่ที่โอซากาเพิ่มเติม และมีค่าเช่า เซ็นทาราหัวหินด้วย แต่โดยภาพรวมก็ยังเป็นเทรนด์ที่ผมเห็นชัดก็คือ คนที่เกาะไปกับกรุงเทพฯแข็งแกร่ง คนที่อยู่ต่างจังหวัดเยอะ ๆ ยังฟื้นช้า
ที่น่าสนใจคือ MINT กำไรดีระเบิดเถิดเทิง โตทั้ง QOQ และ YOY เหตุผลเพราะว่าเขาอยู่ในยุโรป ยุโรปดีมาก ตอนนี้ RevPAR (ค่าเช่าต่อคืนต่อห้อง x อัตราการใช้งาน) ซึ่งเป็น indicator สำคัญที่สุดของกลุ่มตอนนี้สูงกว่าพรีโควิดเลเวลไปเยอะมากแล้ว
ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์มากคือ SPA เนเจอร์ธุรกิจ 50% เป็นธุรกิจที่เสิร์ฟลูกค้าจีนเป็นหลัก แต่ตอนนี้จีนไม่มา แต่ปรากฏว่า SPA ผลประกอบการดีกว่าที่ตลาดคาด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ SPA ไปขอลดค่าเช่าในพื้นที่เช่าหลาย ๆ พื้นที่ได้สำเร็จ และขึ้นอัตราค่าบริการได้ และหาลูกค้าที่เป็นตลาดอื่น ๆ มาทดแทนจีนได้
Q : เทคนิคสำหรับนักลงทุนช่วงระยะสั้น ตัวไหนที่ดูเป็น Top Pick ที่น่าสนใจลงทุน
ผมเชื่อว่า MINT จะแข็งกว่ากลุ่ม เพราะเป็นธุรกิจที่อิงกับยุโรปเยอะ และยุโรปกำลังอยู่ในช่วงที่ดี ดังนั้นไตรมาส 3 MINT จะเด่นที่สุด ขณะที่ตัวรอง ๆ ในประเทศไทย CENTEL ตั้งแต่ผลประกอบการผิดคาด หุ้นถอยลงมาลึกเยอะมาก เป็น 10 บาท ภายในพริบตา ถือว่าลงเยอะมาก
MINT เด่น CENTEL พอรับได้
เพียงแต่ว่าราคาหุ้นแถวนี้จะเริ่มยืนได้ แล้วถ้าเกิดจีนกลับมาได้พอสมควร คิดว่า CENTEL มีโอกาสจะไต่กลับขึ้นไปได้ เพียงแต่ช้าหน่อย เป็นตัวเลือกที่พอรับได้ แต่ถ้าท่านมองระยะสั้นไป MINT ก่อน ถ้าท่านมองจะเล่นไฮซีซั่นไทย CENTEL ถอยลงมาลึก ๆ ยังพอเป็นไปได้ ราคาน่าสนใจสะสมอยู่ที่ประมาณ 41-42 บาท พอเป็นไปได้