ไขคำตอบทำไม “บ้าน” ที่มีมูลค่าแพงกว่า “รถ” ถึงทำประกันน้อยมากในเมืองไทย

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในประเทศไทยปัจจุบัน การทำประกันภัย “รถยนต์” มีอยู่มาก แต่การทำประกันภัย “บ้านที่อยู่อาศัย” ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าแพงกว่ามาก กลับมีจำนวนการทำประกันภัยที่น้อยมากๆ

โดยจากสถิติบ้านเรือนในประเทศไทยกว่า 27 ล้านหลังคาเรือน ต่อประชากรกว่า 60 ล้านคนทั่วประเทศ มีแค่ 3.2 ล้านหลังคาเรือน คิดเป็นสัดส่วน 12% เท่านั้นที่ทำประกันภัยบ้าน ซึ่งโดยมากทำประกันผ่านสถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์ จากการกู้เงินผ่อนบ้าน-คอนโด แต่ประชาชนไม่ได้ใช้เงินสดซื้อประกันเอง

ฉะนั้นตลาดประกันภัยบ้านในไทย จึงถือว่ายังเป็นตลาดที่ใหญ่มากๆ เพราะมีสัดส่วนอีกกว่า 88% ของครัวเรือนไทยที่ยังไม่มีการทำประกันภัยบ้านเลย ทั้งในเขตพื้นที่กรุงเทพและต่างจังหวัด

“ดร.อัญชลิน พรรณนิภา” ประธานบริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TQM ธุรกิจนายหน้าประกันภัยอันดับ 1 ในประเทศไทย เล่าว่า เราเห็นโอกาสจากช่องว่างตรงนี้จึงหยิบยกการทำประกันภัยอัคคีภัย(ประกันไฟไหม้) โดยปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับภัยที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

“ต้องยอมรับว่าการรับรู้ของคนไทยต่อการทำประกันภัยบ้าน คือ คุ้มครองแค่ไฟไหม้อย่างเดียว ซึ่งแน่นอนว่าโอกาสที่จะเกิดไฟไหม้บ้านน้อยมาก จึงทำให้คนไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไหร่นัก ทำประกันผ่านแบงก์แค่ทำไปเท่ากับวงเงินกู้ เช่น กู้ซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาท ดาวน์ 2 ล้านบาท แบงก์ให้ทำประกันวงเงินเงินคุ้มครองแค่ 3 ล้านบาท ก็จบกันไป”

Advertisment

แต่ปัจจุบันโปรดักต์ประกันภัยบ้านไม่เหมือนในอดีต เพราะจากการสำรวจภัยที่คนไทยกลัวจะเกิดขึ้นมากกว่าไฟไหม้ เช่น ภัยจากน้ำท่วม, ลมพายุ, การโจรกรรม นอกจากนี้รวมไปถึงความคุ้มครองทรัพย์สินที่อยู่ในบ้าน ซึ่งคนที่กู้เงินผ่อนบ้านกับแบงก์ส่วนใหญ่ไม่มีความคุ้มครองทรัพย์สินภายในบ้าน(คุ้มครองเฉพาะตัวบ้าน) ตรงนี้จึงเป็นโจทย์สำคัญมากที่เราจะเข้าไปตอบสนองผ่านรูปแบบความคุ้มครองที่หลากหลายครอบคลุมจากภัยทั้งหมด กว่า 100 แบบให้เลือก

“นภัสนันท์ พรรณนิภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด เล่าว่า เบื้องต้นเราแบ่งความคุ้มครองภัยที่เกิดจากดิน, น้ำ, ลม, ไฟ อาทิ ฟ้าผ่า, ระเบิด, น้ำรั่ว, น้ำท่วม, ลมพายุ, แผ่นดินไหว, คุ้มครองภัยโจรกรรม, ลัก, ชิง, ปล้น, งัดแงะ, คุ้มครองทรัพย์สินประเภทเงินสด หรือ ประกันภัยเงิน คุ้มครองกระจกแตกจากอุบัติเหตุ ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก คุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุภายในที่พักอาศัยของผู้เอาประกันภัย

โดยเจาะกลุ่มเป้าหมายหลัก 3 กลุ่มคือ 1.กลุ่มหัวหน้าครอบครัวที่เป็นห่วงบ้านและคนในครอบครัว 2.กลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์ชอบท่องเที่ยวไม่ค่อยอยู่บ้านเป็นห่วงบ้านซึ่งเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรม ไฟไหม้ หรือภัยพิบัติต่าง ๆ และ 3.กลุ่มคนรุ่นใหม่ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ห่วงทรัพย์สินหรือของมีค่าภายในบ้าน ซึ่งประกันภัยบ้านแนวใหม่นี้ครอบคลุมทุกความเสี่ยงของคนทุกกลุ่มที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน

โดย TQM ตั้งเป้าเบี้ยประกันภายในสิ้นปี 2564 ไว้ที่ 500 ล้านบาท โดยคาดหวังในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีเบี้ยประกันภัยรับ 15,927 ล้านบาท ซึ่งเราจะมีแคมเปญออกมาทำตลาดในแต่ละเฟสต่อจากนี้ไป

Advertisment

สำหรับลูกค้าที่ต้องการตรวจสอบราคาเบี้ยประกันภัยบ้าน สามารถเช็กผ่านออนไลน์ด้วยตัวเองที่ ‘TQM Home Insurance’ ผ่านเว็บไซต์ www.home.tqm.co.th เข้ามาช่วยคำนวณว่าบ้านแต่ละหลังมีความเสี่ยงภัยเรื่องใดบ้าง เพื่อเป็นด่านแรกในการคัดกรองให้คนห่วงบ้านสามารถประเมินภัยของพื้นที่บ้านตนเองก่อนตัดสินใจทำประกัน

ซึ่งเราได้ทำงานร่วมกันกับ Baannia  ซึ่งจะให้ข้อมูลขนาดพื้นที่บ้านแต่ละหลัง เพื่อให้ลูกค้าที่ไม่ทราบพื้นที่บ้านสามารถซื้อประกันบ้านได้ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมกับ Nostra ที่จะให้ข้อมูลสถิติภัยต่างๆ ในประเทศไทย เพื่อให้ลูกค้าทราบได้ว่าบริเวณรอบๆ บ้านของลูกค้ามีความเสี่ยงภัยอะไรบ้าง ซึ่งทำให้เทคโนโลยีนี้เติมเต็มและตอบสนองกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น

“ธนา เธียรอัจฉริยะ” กรรมการ TQM กล่าวว่า หลังโควิดเทรนด์หลักที่จะเกิดขึ้นคือคนอยู่บ้านมากขึ้น และต่อไปการทำงานที่บ้าน(Work Form Home) จะเป็นเรื่องปกติ ปัจจุบันเราเห็นสัญญาณบ้านชานเมืองขายดีมาก หนุนให้ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับบ้านขายดีตามไปด้วย แม้กระทั่งเครื่องออกกำลังกาย, วัสดุซ่อมบ้าน ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด ดังนั้นสินค้าอะไรที่เกี่ยวข้องกับบ้านจะเป็น “เมกะเทรนด์”

ดังนั้นเราทำอย่างไรจะให้ TQM มีส่วนรวมตรงนี้ได้ จึงมองในมุมชาวบ้านต่อการประกันภัยบ้าน ที่ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงกัน จึงตั้งคำถามว่า จริงๆ บ้านเรามีประกันหรือเปล่า? ได้มาพูดคุยกันดูข้อมูลสถิติตัวเลขต่างตกใจว่าทำไมคนทำประกันภัยบ้านน้อยมาก ซึ่งผลสำรวจพบว่าคนไม่เข้าใจผิดว่าประกันภัยบ้านคุ้มครองแต่ไฟไหม้ สมัยก่อนซื้อยากเพราะต้องตรวจสอบโครงสร้างบ้านมากมาย และเข้าไปหาข้อมูลก็ไม่ค่อยเจอ

ดังนั้นถ้าทำให้เกิดขึ้นได้ เชื่อว่าในทางการตลาดจะเกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า “สุริยุปราคา” ที่ 3 อย่างเรียงกันพอดี 1.เมกะเทรนด์ 2.ตลาดประกันภัยบ้านยังโตได้มหาศาล 3.ราคาเบี้ยประกันภัยบ้านแค่ไม่ถึง 1% ของราคาบ้าน ในขณะที่ประกันภัยรถยนต์ ราคาเบี้ยประกันกว่า 3% ของราคารถ คนมีบ้านมูลค่า 10 ล้านบาท เบี้ยประกันภัยไม่ถึงหลักหมื่น

ซึ่งในอนาคตน่าจะเป็น product of the next year ฉะนั้นใครที่ทำตลาดได้ก่อนและซื้อได้ง่าย ราคาเหมาะสม มีทางเลือกให้ลูกค้า จะครองส่วนแบ่งตลาดนี้ได้แน่นอน หรือเป็น Market Maker