ปตท.เปิดแผนลงทุนทั้งกลุ่ม 5 ปี 9.4 แสนล้าน รุกธุรกิจใหม่

ปตท.เปิดแผนลงทุนทั้งกลุ่ม 5 ปี 9.4 แสนล้านบาท รุกธุรกิจใหม่ วางแผนพัฒนาอีวีครบวงจร ตั้งเป้าปี 2571 ผลิตรถอีวีได้ 5 หมื่นคัน หวังรายได้โตจากธุรกิจใหม่ 30% พร้อมสร้างผลตอบแทนคืนสู่สังคม มองรัสเซีย-ยูเครน เป็นพื้นที่จัดหาน้ำมันจากแหล่งที่อยู่นอกพื้นที่ความขัดแย้ง พร้อมจัดหาพลังงานเพื่อความมั่นคงกับประเทศ

วันที่ 1 มีนาคม 2565 นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท.ได้วางแผนงานและงบฯลงทุน 5 ปี (2565-2569) รวมกว่า 9.4 แสนล้านบาท ตามกรอบวิสัยทัศน์ “Powering Life with Future Energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยพลังแห่งอนาคต”

อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์

โดยจะเน้นไปที่กลุ่มธุรกิจใหม่ทั้งพลังงานหมุนเวียนและยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเดินหน้าธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ซึ่งร่วมมือกับฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) ตั้งบริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (HORIZON PLUS) บริษัทร่วมทุนเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายตลาดและสร้างฐานการผลิตอีวีในไทย รวมถึงจัดตั้งบริษัท นูออโว พลัส จำกัด (NUOVO PLUS) เพื่อเป็นหลักขับเคลื่อนการลงทุนด้านแบตเตอรี่ของกลุ่ม ปตท.

ทั้งนี้ คาดว่าจะมีการลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตอีวีระยะในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 และจะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2571 โดยในระยะแรกนี้จะสามารถผลิตรถอีวีได้ประมาณ 50,000 คันต่อปี โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งบริษัท อีวี มี พลัส จำกัด (EVME PLUS) เพื่อให้บริการด้านดิจิทัลแพลตฟอร์ม ส่งเสริม และสร้างระบบนิเวศธุรกิจให้เกิดการใช้อีวีอย่างแพร่หลายในประเทศ อาทิ บริการให้เช่า บริการข้อมูลเกี่ยวกับสถานีอัดประจุไฟฟ้า และสถานีซ่อมบำรุง

ขณะเดียวกันก็จะเดินหน้ารุกธุรกิจใหม่ ที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทย และเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูงตามทิศทางโลก ด้วยการเข้าสู่ธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต โดยมีบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท.ยังมุ่งเข้าสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ต่อยอดจากธุรกิจปิโตรเคมี ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง เสริมสร้างความแข็งแกร่งธุรกิจน้ำมันและเสริมสร้างธุรกิจไลฟ์สไตล์ ตลอดจนการเข้าสู่ธุรกิจโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีดิจิทัล

Advertisment

“คาดว่าภายในปี 2573 บริษัทจะสามารถรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่ที่ดำเนินการอยู่เพิ่มขึ้นเป็น 30% โดยคาดว่าจะสามารถทำกำไรต่อหน่วยได้ดีกว่าธุรกิจพลังงานเดิม อาทิ น้ำมัน ซึ่งถือว่าเป็นการยกขีดความสามารถในการแข่งขันธุรกิจปัจจุบัน ตลอดจนให้การสนับสนุนภาครัฐช่วยลดต้นทุนทางพลังงานให้ประชาชนในอีกแนวทางหนึ่งด้วย”

ส่วนความคืบหน้าโครงการคลังกักเก็บก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) หรือเทอร์มินอล หนองแฟบ (แห่งที่ 2) จังหวัดระยองว่า โครงการดังกล่าวเป็นการร่วมทุนระหว่าง ปตท. กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดย กฟผ.เข้ามาร่วมทุนในเทอร์มินอล 2 ขนาด 7.5 ล้านตันต่อปี (MTPA) นี้คาดว่าจะเป็นความร่วมมือแบบการร่วมลงทุนกับ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด สัดส่วน 50:50 โดยโครงการดังกล่าวจะใช้เงินลงทุนกว่า 38,000 และปัจจุบัน ปตท.-กฟผ. ลงนามบันทึกสาระสำคัญของสัญญาร่วมทุนโครงการก่อสร้าง คาดว่าโครงการจะดำเนินการแล้วเสร็จไตรมาสที่ 4 ปี 2022

อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการ ปตท. ประจำปี 2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ซึ่งสอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัว รวมถึงความสามารถในการรักษาความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจและการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ในปี 2564 กลุ่ม ปตท.ส่งเงินเข้ารัฐกว่า 82,500 ล้านบาท

Advertisment

สำหรับสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน แน่นอนว่ากระทบกับราคาน้ำมันโลก ซึ่งปีนี้คาดว่าจะอยู่ในกรอบ 81-86 เหรียญต่อบาร์เรล แต่หากทั้งสองประเทศสามารถเจรจาพูดคุยกันได้ประเมินว่าราคาจะลดลง ถามว่า กระทบกับไทยอย่างไร ก็มีแผนรองรับ ยืนยันว่าไม่ขาดแคลน และ ปตท.จัดหาน้ำมันจากแหล่งที่อยู่นอกพื้นที่ความขัดแย้ง และไทยมีการซื้อน้ำมันในบริเวณนั้นน้อย และครึ่งปีนี้ไม่มีพอร์ตจากรัสเซีย

แต่ปัจจัยที่จะทำให้ราคาลดลงคืออิหร่าน หากสามารถหารือสหรัฐได้ก็อาจจะดีขึ้น ทั้งนี้ ปตท.ประเมินราคาก๊าซปรับสูงขึ้นแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล แต่อยากจะขอให้ช่วยกันประหยัดพลังงาน ซึ่งราคาก๊าซขึ้นลงตามราคาน้ำมัน ตามกลไก แน่นอนว่าด้วยสถานการณ์ราคาสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว

สำหรับแหล่งก๊าซยาดานา เมียนมา ทั่วโลกจับจ้องอยู่ การประกาศถอนตัวของบริษัท โททาลเอนเนอร์ยี่ส์ อีพี เมียนมา ได้แจ้งถอนตัวจากการเป็นผู้ร่วมทุนและผู้ดำเนินการในโครงการยาดานา โดยจะยังคงเป็นผู้ดำเนินการในโครงการต่อไปอีก 6 เดือน เพื่อรักษาความต่อเนื่องในการผลิตก๊าซธรรมชาติ และเพื่อหาโอเปอเรเตอร์เข้ามาทดแทน ซึ่งเป็นเรื่องในระยะอีกไกล

ส่วนงบประมาณการอุดหนุนราคาพลังงานปี 2564 ที่ผ่านมา ปตท. การอุดหนุน ส่วนลดราคา LPG ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2564 มูลค่า 6.3 ล้านบาท ในส่วนของ NGV มีภาระจากการตรึงราคาขายปลีก ใน พฤศจิกายน-ธันวาคม 2564 มูลค่า 449 ล้านบาท สำหรับปีนี้ ต้องพิจารณาตามสถานการณ์และนโยบายรัฐบาลต่อไป

“สถานการณ์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน นั้นหากเหตุการณ์ยืดเยื้อ มีโอกาสที่ราคาน้ำมันแตะ100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งปีนี้คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 81-86 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่เรื่องนี้อยากให้มองในเรื่องความมั่นคงพลังงาน ซึ่ง ปตท.จัดหาน้ำมันจากแหล่งที่อยู่นอกพื้นที่ความขัดแย้ง  อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันโลกที่ปรับสูง ต้องมีการรณรงค์ประหยัดพลังงาน ถ้าประหยัดการใช้ดีเซลได้ 10% จากราคาจำหน่ายประมาณ 30 บาทต่อลิตร ก็จะช่วยให้ประชาชนประหยัดได้ถึง 3 บาทอีกด้วย”

สำหรับ ปตท.ยังมุ่งมั่นยกขีดความสามารถในการแข่งขันธุรกิจปัจจุบัน และมองหาโอกาสในธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพเพื่อผลตอบแทนที่ดีกลับคืนสู่ประเทศ ฟื้นคืนลมหายใจเศรษฐกิจ ตลอดจนให้การสนับสนุนภาครัฐช่วยลดต้นทุนทางพลังงานให้ประชาชน รวมถึงดำเนินกิจการเพื่อสังคมต่อเนื่อง และสานต่อโครงการลมหายใจเดียวกัน สนับสนุนระบบสาธารณสุขไทยช่วงสถานการณ์โควิด-19 ร่วมจัดตั้งหน่วยวัคซีนเคลื่อนที่เชิงรุก จนถึงหน่วยคัดกรองโควิด-19 และโรงพยาบาลสนามครบวงจรต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 เพื่อเป็นอีกหนึ่งพลัง ร่วมขับเคลื่อนประเทศในทุกมิติ ให้คนไทยฝ่าวิกฤตนี้ไปได้ด้วยกัน