บลจ.อีสท์สปริง เสนอขายกองทุนหุ้นปันผลโลก 19-23 มิ.ย.นี้

กองทุนหุ้นต่างประเทศ

บลจ.อีสท์สปริง เปิดขายกองทุนหุ้นปันผลโลก “ES-GDIV-Acc” ลงทุนผ่านกองหลักของเจพี มอร์แกน เป็นทางเลือกสู้เศรษฐกิจถดถอย ลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท ระหว่างวันที่ 19-23 มิถุนายน 2566 นี้

วันที่ 19 มิถุนายน 2566 นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง กล่าวว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 กองทุนหุ้นกลุ่มปันผลเริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น เนื่องจากมีอัตราจ่ายเงินปันผลที่ดีอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์ความไม่แน่นอนจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอย

บริษัทจึงได้เปิดขายกองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Dividend Equity สะสมมูลค่า (ES-GDIV-Acc) ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นปันผลทั่วโลก ระหว่างวันที่ 19-23 มิถุนายน 2566 นี้ มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท ลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท

ดารบุษป์ ปภาพจน์
ดารบุษป์ ปภาพจน์

สำหรับกองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Dividend Equity สะสมมูลค่า เป็นกองทุนที่ไม่มีนโยบายจ่ายปันผล เน้นลงทุนในกองทุนหลัก คือ JPMorgan Global Dividend Fund-Class C (acc) USD เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ

ซึ่งจะลงทุนในตราสารทุนทั่วโลกรวมถึงตลาดเกิดใหม่ที่สร้างรายได้ในระดับสูงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 67 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนหลัก และสินทรัพย์ของกองทุนหลักอย่างน้อยร้อยละ 51 จะลงทุนในบริษัทที่มีคุณลักษณะด้านสิ่งแวดล้อม หรือสังคมในเชิงบวก ซึ่งเป็นไปตามแนวทางปฏิบัติด้านธรรมาภิบาลที่วัดได้จากวิธีการให้คะแนน ESG ของผู้จัดการการลงทุน ซึ่งบริหารจัดการโดย J.P. Morgan Asset Management

Advertisment

ทั้งนี้ กระบวนการคัดเลือกหลักทรัพย์ใช้การวิเคราะห์โดยพิจารณาพื้นฐานบริษัท ไปอุตสาหกรรมและภาพรวมเศรษฐกิจ ตลอดจนเลือกลงทุนในบริษัทที่ให้ปันผลสม่ำเสมอ และบริษัทที่มีศักยภาพในการจ่ายปันผลที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการกระจายลงทุนประมาณ 40-90 บริษัท ในหมวดอุตสาหกรรมสูงสุด 5 อันดับ

ได้แก่ กลุ่มยาและเทคโนโลยีการแพทย์ 9.9%, กลุ่มเทคโนโลยี Semi & Hardware 9.2%, กลุ่มธนาคาร 8.6% กลุ่มบริการการเงิน 8.1% และกลุ่มเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ 6.1% และมีสัดส่วนการลงทุนในสหรัฐ 55.3% ยุโรป 18.7% ตลาดเกิดใหม่ 8% สหรัฐราชอาณาจักร 6% (ณ วันที่ 30 เมษายน 2566)

“ในช่วงไตรมาส 2 เราเริ่มเห็นหลายประเทศเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) ไปแล้ว เช่น เยอรมนี หรือยุโรป และคาดว่าจะมีบางประเทศเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคมากขึ้น ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนหลายกลุ่มถูกปรับลดลง อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เกิดความไม่แน่นอน หุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลสูงกลับทำผลตอบแทนได้อย่างน่าสนใจ ขณะที่ปัจจุบันระดับมูลค่ารวมถึงอัตราการจ่ายเงินปันผลของหุ้นกลุ่มนี้อยู่ในระดับที่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับอดีต จึงเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนจะใช้หุ้นปันผลเป็นตัวรองรับความผันผวนที่เกิดขึ้น” นางสาวดารบุษป์กล่าว