โบรกฯ ประเมินหุ้นไทยเดือน พ.ค. ไปทางไหน ?

ตลาดหุ้น

โบรกฯ แนะหุ้นเด่นเดือน พฤษภาคม 2567 มองหุ้นหุ้นได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า-ถูกนำเข้าดัชนี SET50-กลุ่มแบงก์-หุ้นคาดงบฯเติบโต 

วันที่ 2 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความผันผวนอยู่อย่างต่อเนื่องโดย SET Index เม.ย. 67 ปิดที่ 1,368 จุด และมีนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,913.66 ล้านบาทและล่าสุด ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ย 5.50% และส่งสัญญาณไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไป และชะลอการใช้มาตรการ QT

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ทรุดตัวลงแรงหลังสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้นเกินคาด ทำให้ดัชนีผันผวน ส่วนในเดือนพฤษภาคม 2567 ยังคงต้องจับตาว่าตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร มีหุ้นกลุ่มไหนน่าลงทุนบ้าง

บล.ทรีนีตี้ คาดดัชนีทรงตัว จับตาเงินบาทอ่อน-สงคราม

โดยนายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผย ถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนพฤษภาคม 2567 ว่า ภาพตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤษภาคม คาดว่าดัชนีน่าจะทรงตัว โดยปัจจัยที่อาจเข้ามาเป็นตัวกระตุ้นได้บ้าง คือการประกาศใช้มาตรการ Uptick rule ในการทำชอร์ตเซล ของตลาดหลักทรัพย์ฯ (ตลท.) ซึ่งหากเกิดขึ้นได้เร็ว น่าจะเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนขึ้นมาได้บ้าง

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จำกัด Upside ของดัชนีในเดือนนี้ยังคงมองไปยังพื้นฐานกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ขนาดใหญ่ที่ยังคงอ่อนแอ รวมถึงค่าเงินบาทที่ยังคงอ่อนแอกว่าภูมิภาคด้วยเช่นกัน โดยอาจต้องระวังปัจจัยทางด้าน Fund flow ที่เข้าสู่ช่วง Low season จากการขนย้ายเงินปันผลออกนอกประเทศของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งอาจส่งผลกดดันต่อค่าเงินบาทและภาพดัชนีโดยรวมได้

Advertisment

สำหรับปัจจัยกดดันค่าเงินบาทอื่นได้แก่ การเข้าสู่ช่วง Low season ของภาคการท่องเที่ยวไทย ซึ่งจะส่งผลต่อความอ่อนแอของดุลบริการ และต้นทุนการนำเข้าของไทยที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ ซึ่งจะส่งผลกดดันต่อดุลการค้าได้

ส่วนปัจจัยต่างประเทศคงต้องติดตามความเสี่ยงรัฐภูมิศาสตร์ระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ที่มีโอกาสสร้าง Noise รบกวนให้กับตลาดทุนทั่วโลกได้ทุกเมื่อ และการออกมาแสดงความเห็นของกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ท่านต่าง ๆ หลังจากผ่านพ้นการประชุมคณะกรรมการ FOMC ในช่วงต้นเดือน

มองกรอบ 1,340-1,400 จุด

นายณัฐชาตยังกล่าวว่า ล่าสุด ทรีนีตี้ได้ปรับสมมติฐานการลดดอกเบี้ยของกนง.ปีนี้ลงอย่างเป็นทางการจาก 2 ครั้งหรือ 0.5% ลงมาเหลือ 1 ครั้งหรือ 0.25% ทำให้มีการปรับเปลี่ยนสมมุติฐาน Forward PE ของ SET ในกรณีดีสุด/กรณีฐาน/กรณีแย่สุด มาอยู่ที่ 13.8x/12.8x/11.9x และทำให้ได้ระดับดัชนี SET ที่เหมาะสมใหม่ในแต่ละกรณีมาอยู่ที่ 1,480/1,370/1,270 จุดตามลำดับ

ด้วยเหตุนี้ จึงคาดการณ์ SET Index เดือนนี้แกว่งตัวในกรอบ 1,340-1,400 จุด (มีจุดศูนย์กลางที่ระดับ 1370 จุด ซึ่งเป็นระดับยุติธรรมใหม่) โดยหลังจากที่แนะนำให้เข้าซื้อหุ้นรอบล่าสุดไปที่บริเวณดัชนี 1,370 จุด แนะนำนักลงทุนใช้กลยุทธ์ Wait & See ไปก่อน โดยกำหนดกลยุทธ์ด้านเทคนิคแนวรับถัดไปที่ระดับ 1,340-1,350 จุด

Advertisment

แนะ 13 หุ้นเด่น เดือน พ.ค.

มองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจประจำเดือนนี้ ได้แก่ 1.กลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาท ได้แก่ COCOCO, PLUS, MALEE, AAI, ITC, STGT 2.กลุ่มธนาคารที่แนวโน้มความอ่อนแอของ NIM ได้ถูกสะท้อนเข้าไปอยู่ในสมมติฐานของนักวิเคราะห์ รวมถึงราคาหุ้นในปัจจุบันไปมากแล้ว เลือก BBL, KTB, TTB และ 3.กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไปได้แก่ BJC, TIDLOR, BCP, ITC

บล.ทิสโก้ ชี้เฟดลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาด

ด้าน นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า บล.ทิสโก้มองว่าปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะปรับลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่ได้ส่งสัญญาณไว้ หลังแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐ อาจใช้เวลายาวนานขึ้นกว่าจะปรับตัวลงสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ขณะที่ตลาดแรงงานสหรัฐ ยังสะท้อนภาพที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง จากข้อมูล CME FedWatch Tool ล่าสุดในช่วงสิ้นเดือนเมษายนตลาดประเมินโอกาส

FED จะลดดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนเหลือเพียง 10% ต้น ๆ ลดลงจากช่วงต้นเดือนเมษายนที่อยู่สูงกว่า 60% โดยการลดดอกเบี้ยของ FED ครั้งแรกถูกเลื่อนเป็นเดือนกันยายน และในปีนี้อาจจะลดดอกเบี้ยได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นอาจปรับตัวลดลงรับข่าวดังกล่าว

“FED มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานกว่าคาด และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ส่งสัญญาณแข็งกร้าวต่อเนื่องเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายการเงินมีผลจำกัดต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในเชิงโครงสร้าง

ดังนั้นศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) จึงเปลี่ยนมุมมองการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือเพียง -25 bps ในไตรมาส 4/2567 จากเดิมที่มอง -50 bps ในครึ่งปีหลัง ด้วยแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของสหรัฐ ในปีนี้มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ทำให้โอกาสการลดดอกเบี้ยของไทยลดน้อยลงด้วย

บล.ทิสโก้มองตลาดอยู่ในช่วงของการหาสมดุลใหม่ แนะนำเลือกหุ้นเชิงคุณภาพที่มีปัจจัยบวกระยะสั้น และหุ้นที่มีโอกาสจะเข้า SET50 ครึ่งปีหลัง” นายอภิชาติกล่าว

แนะ 8 หุ้นเด่น เดือน พ.ค.

สำหรับหุ้นเชิงคุณภาพที่มีปัจจัยบวกระยะสั้น โดยเฉพาะหุ้นที่คาดงบจะเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (YOY) แนะนำ AAI, BDMS, CPAXT, ICHI, และ NSL และหุ้นที่มีโอกาสจะเข้า SET50 ครึ่งปีหลัง แนะนำ BJC และ ITC นอกจากนี้ บล.ทิสโก้แนะนำ STANLY คาดหวังการประกาศผลประกอบการและจ่ายเงินปันผลประจำปี

โดยสรุป หุ้นเด่นของ บล.ทิสโก้ในเดือนพฤษภาคม คือ AAI, BDMS, BJC, CPAXT, ICHI,ITC, NSL และ STANLY ด้านแนวรับสำคัญของเดือนนี้แนวรับแรกอยู่ที่ 1,350 จุด แนวรับต่อมาคือ 1,330 จุด และ 1,300 จุดตามลำดับ แนวต้านสำคัญเดือนนี้อยู่ที่ 1,380 จุด แนวต้านต่อไปคือ 1,405-1,410 จุด และ 1,430-1,440 จุด ตามลำดับ

คาดมาตรการคุม “Short sell” หนุนดัชนีพุ่ง 30 จุด

สำหรับตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่กำลังยกระดับมาตรการกำกับดูแลการซื้อขายในหลาย ๆ ด้าน โดยมาตรการที่คาดว่าจะดำเนินการให้มีผลบังคับใช้ได้ภายในไตรมาส 2/2567 คือ การทบทวนหลักทรัพย์ที่ Short Selling ได้ โดยกรณี Non-SET 100 จะต้องมีมาร์เก็ตแคปมากกว่า 7,500 ล้านบาท ต้องมีปริมาณการซื้อขาย (Turnover Ratio) เฉลี่ยใน 12 เดือนที่ระดับ 2% และยังมีการเพิ่มราคาขายชอร์ตในทุกหลักทรัพย์ต้องสูงกว่าราคาล่าสุด (Uptick) จากปัจจุบันให้ขายชอร์ตได้ที่ราคาเท่ากับหรือสูงกว่า (Zero-plus Tick)

การยกระดับมาตรการกำกับดูแลการซื้อขาย น่าจะช่วยเพิ่มเสถียรภาพตลาดและความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ แต่อาจต้องแลกด้วยมูลค่าซื้อขายที่อาจลดลงตามกฎเกณฑ์กำกับดูแลใหม่ที่มีความเข้มงวดขึ้น โดยการเพิ่มเกณฑ์ Uptick เคยถูกนำมาใช้ในช่วงต้นปี 2020 ที่เกิดวิกฤติ COVID-19 ระบาด ในช่วงเวลาดังกล่าวทำให้มูลค่าธุรกรรมขายชอร์ตที่ปกติอยู่ประมาณ 5-6% ของมูลค่าซี้อขายโดยรวมของตลาดลดเหลือไม่ถึง 1% หรือลดลงกว่า 80%

บล.ทิสโก้ประเมินว่า หากนำเกณฑ์ Uptick มาใช้ คาดว่าจะทำให้มูลค่าธุรกรรมขายชอร์ตจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนประมาณ 10% ต้น ๆ ของมูลค่าซื้อขายโดยรวม ลดลงเหลือเพียง 2-3% เท่านั้น หรือเทียบเท่ามูลค่าซื้อขายจะลดลงประมาณ 10% หรือประมาณ 4,000 ล้านบาท อิงจากสัดส่วนราว 90% ของการขายชอร์ตเป็นหุ้น NVDR ซึ่งลงทุนโดยนักลงทุนต่างชาติ และทิศทางการลงทุนของต่างชาติมีอิทธิผลต่อดัชนีหุ้นไทยค่อนข้างสูง (Correlation +0.78)

ดังนั้นการขายชอร์ตของต่างชาติที่หายไปทุก ๆ 1,000 ล้านบาท คาดจะมีผลบวกต่อดัชนีหุ้นไทย ราว 7-8 จุด ดังนั้นหากมูลค่าชอร์ตหายไปราว 4,000 ล้านบาทที่กล่าวไว้ในตอนต้น บล.ทิสโก้ประเมินจะส่งผลเชิงบวกต่อดัชนีหุ้นไทยราว 30 จุด