The Weeknd Live in Bangkok โชว์ศักยภาพซูเปอร์สตาร์ยุคใหม่ที่เพอร์เฟ็กต์คู่ควรทุกคำชม

ท้องฟ้าสีเทา : เรื่อง 
BEC-TERO : ภาพ
ไม่มีคำชมไหนที่เกินจริงเลยสำหรับการแสดงสดของนักร้องซูเปอร์สตาร์แห่งยุค The Weeknd (เดอะ วีคเอนด์) ที่มาแสดงศักยภาพของเขาให้ได้เห็นใน The Weeknd Asia Tour Live in Bangkok คอนเสิร์ตครั้งแรกของ The Weeknd ในเมืองไทย จัดโดย ไลฟ์ เนชั่น บีอีซี-เทโร ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา

คอนเสิร์ตเริ่มต้นขึ้นในเวลา 21.15 น. หลังจากที่ส่ง DJ Panda ออกมาชวนคนดูวอร์มเครื่องตอน 2 ทุ่ม จากนั้นเจ้าของคอนเสิร์ตไม่ได้โชว์ต่อในทันที ปล่อยเว้นช่วงนานจนคนดูแอบเซ็ง แต่ทันทีที่นักร้องหนุ่มมากความสามารถจากแคนนาดาขึ้นมาบนเวทีก็เหมือนกับว่าเขาร่ายมนต์ให้ความเบื่อความเซ็งจาการรอคอยหายไปในบัดดล

อาเบล แมคโคเนน เทสเฟย์ (Abel Makkonen Tesfaye) นักร้อง นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ในนาม The Weeknd มากับนักดนตรีแบ็คอัพ 3 คน ซึ่งมีคนหนึ่งที่เล่นทั้งดนตรีสดและคุมโปรแกรมฝั่งอิเล็กทรอนิกส์

สมกับความมากพลังและศักยภาพอันสูงปรี๊ดที่ได้รับคำชมมาตลอด The Weeknd จัดเซตลิสต์เพลงมาฝากแฟน ๆ 24 เพลง แบบเต็มอิ่มความสนุกทั้งเพลงจากสตูดิโออัลบั้มและอัลบั้มมิกซ์เทป รวมถึงเพลงที่เจ้าตัวไปฟีทเจอริ่งกับศิลปินอื่นด้วย

ทันทีที่เปิดโชว์ด้วยอินโทร แล้วเริ่มเพลงแรก Pray For Me ก็เป็นการติดเครื่องคนดูให้สนุกขึ้นในทันที แล้วตามมาด้วยสุดยอดเพลงฮิต Starboy และเซตเพลงจากอัลบั้มเดียวกัน ทั้ง Party Monster กับ Reminder และ 6 Feet Under ต่อด้วยเพลงที่ไปฟีทเจอริ่งกับศิลปินอื่น คือ Low Life ที่ฟีทกับ Future แล้วหยุดทักทายแฟน ๆ แป๊บเดียวช่วงกลางเพลง จบเพลงนี้ต่อด้วย Might Not ที่ฟีทกับ Belly แล้วกลับมาที่เพลง Sidewalks ของตัวเอง ต่อด้วย Crew Love ที่ฟีทกับซูเปอร์สตาร์ฮิปฮอป Drake

จากนั้นดุเดือดเมามันกับเพลง House Of Balloons / Glass Tables Girls จากอัลบั้มมิกซ์เทปชุดแรกที่นำมาโชว์ในเวอร์ชั่นโคตรร็อกบวกกับเอฟเฟ็กต์ไฟลุกพรึ่บเพิ่มความร้อนแรงบนเวที หลังจากที่แอบประทับใจเสียงกลองอันหนักแน่นของพี่มือกลองมาสักพัก พอถึงนี้ทำให้รู้สึกสนใจวงดนตรีแบ็คอัพ 3 คนของเขามากขึ้นไปอีก เพราะเล่นกันประหนึ่งวงร็อกชื่อดังเลย

สนุกเมามันกันไปแล้วก็พักหายใจแค่แว้บเดียวก็กลับมาสนุกต่อในเพลง Belong To The World จากอัลบั้มเต็มชุดแรก Kiss Land ต่อด้วย Secrets และอีกหนึ่งเพลงฮิต Can’t Feel My Face ที่คนดูช่วยร้องกันอย่างสนุกสนาน ต่อด้วย In The Night และอีกเพลงฮิตเพลงดัง I Feel It Coming ที่ได้ใจคนดูไปเต็ม ๆ

จากนั้นเป็นเพลงสองเพลงเก่า The Morning และ Wicked Games จากยุคอัลบั้มมิกซ์เทปก่อนจะออก ต่อด้วย Earned It (Fifty Shades Of Grey) เพลงประกอบภายนตร์เรื่องดังที่คุ้นหูกันทั้งแฟนเพลงแฟนหนัง พอจบเพลงแฟน ๆ กรี๊ดกันยกใหญ่ ส่วนฝั่งศิลปินก็ยังไม่พูดอะไรมาก รีบต่อด้วย Or Nah เพลงที่ไปฟีทกับ Ty Dolla $ign ตามด้วย Often และ Acquainted จากอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 แล้วเงียบลงไปครู่นึงประมาณ 2-3 นาที

เข้าสู่ช่วงท้ายคอนเสิร์ตด้วย 2 เพลงใหม่ Wasted Times และ Call Out My Name เพลงช้าอารมณ์เศร้า ๆ ที่สะกดคนดูให้เงียบกริบ จบเพลงนี้แฟนเพลงกรี๊ดกันดัง แล้ว The Weeknd ก็ชวนคนดูเล่นร้องอิมโพรไวซ์ไปกับเขา ก่อนจะปิดท้ายคอนเสิร์ตอย่างประทับใจด้วยอีกเพลงฮิตมัน ๆ จากสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 2 คือ The Hills จบเพลงนี้เขาและทีมงานก็ขอบคุณแล้วลงจากเวทีไป แล้วไฟในฮอลก็ถูกเปิดแทบจะทันที ไม่เปิดโอกาสให้คนดูได้อังกอร์ แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร เพราะเท่าที่ได้ดูมาก็เต็มอิ่มกันแล้ว

คอนเสิร์ตนี้ โปรดักชั่นน้อยแต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีมาก (ขอพูดภาษาคนไม่รู้ศัพท์เฉพาะทาง) จอด้านหลังเป็นจอด้าน ๆ ให้ภาพที่เป็นมิตรกับสายตาและสวยกว่าจอแอลอีดีเงา ๆ ที่เห็นตามคอนเสิร์ตส่วนมาก และที่สำคัญจอนี้มันถูกใช้ในบางเพลงที่ต้องการวิชวลประกอบเท่านั้น บางเพลงไม่จำเป็นต้องใช้ก็ปล่อยมืดดำไป โดยที่คนดูก็ยังสนุกกับโชว์ไม่ได้รู้สึกว่าขาดอะไรไปเลย และอีกอย่างที่สะดุดตาตั้งแต่แรกก็คือการวางไฟไว้บนเวทีแบบเป็นสโลป มองแล้วเหมือนเป็นพรอพเก๋ ๆ แต่มันคือการจัดวางไฟที่ดีไซน์มาอย่างแตกต่างจากที่เคยเห็นไฟยิงจากบนลงล่าง งานนี้ก็ได้เห็นการยิงแสงไฟจากกล่างขึ้นบนบ้าง ก็ให้มุมมองที่แปลกและเท่ดี

การแสดงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะพ่อหนุ่ม The Weeknd ร้องรำทำเพลงแบบไม่พูดพร่ำให้เสียเวลา การแสดง 24 เพลงใช้เวลาไปราว 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ซึ่งเป็น 1 ชั่วโมงครึ่งที่นักร้องหนุ่มวัย 28 ปีคนนี้โชว์ศักยภาพอันน่าทึ่งของเขาให้คนดูได้เห็นกับตา พลังเสียงไม่มีตก คุณภาพเสียงชั้นยอด การจัดเรียงเพลงก็ต่อเนื่องลื่นไหล ไม่มีเพลงที่แทรกอยู่ผิดที่ผิดทาง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคอนเสิร์ตนี้ชัดเจนแล้วว่าทั้งตัวเขาและโชว์ของเขาเหมาะสมกับทุกคำชมที่เคยได้ยินมาจริง ๆ

ถ้าจัดอันดับความประทับใจคอนเสิร์ตที่ดูมาในเมืองไทยในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา สำหรับผู้เขียนเอง คอนเสิร์ตนี้อยู่ในอันดับท็อป 3 และเป็นคอนเสิร์ตปิดท้ายปลายปีที่เพอร์เฟ็กต์สุด ๆ

ไม่รู้ว่าผู้เขียนคิดเกินไปหรือเปล่า ไม่กล้าฟันธงว่าตัวเองคิดถูก เพราะโตมาไม่ทันยุครุ่งเรืองของซูเปอร์สตาร์ตลอดกาล ไมเคิล แจ็คสัน แต่ระหว่างชมการแสดงของ The Weeknd มีหลายช่วงที่คิดขึ้นมาว่าศักยภาพของเขาสามารถไปถึงจุดที่ไมเคิล แจ็คสันเป็นได้เลย เพียงแต่ยุคสมัยและบริบทแวดล้อมที่เปลี่ยนไป อิทธิพลที่นักร้องมีต่อผู้คนคงจะไม่มากอย่างยุคก่อนแล้ว เท่านั้นเอง