ธนาคาร ยุค ESG เริ่มแล้ว

คอลัมน์ CSR talk

โดย พิพัฒน์ ยอดพฤติการ

 

การขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนของภาคเอกชนในการที่จะตอบสนองต่อ “เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)” ให้ได้ผลอย่างเต็มที่ ยากที่จะสำเร็จได้ด้วยการทำงานแบบเป็นเอกเทศโดยองค์กรเพียงลำพังแต่จำเป็นต้องมีภาคีร่วมดำเนินงานจากภายนอก

รูปแบบของหุ้นส่วนร่วมดำเนินงานที่ปรากฏในปัจจุบันจำแนกได้เป็นสามจำพวกหลัก ได้แก่ หนึ่ง หุ้นส่วนในห่วงโซ่คุณค่า (value chain partnerships) ด้วยความร่วมมือระหว่างกิจการภายในห่วงโซ่คุณค่า จะเป็นการสานทักษะเทคโนโลยีและทรัพยากรเพื่อนำไปสู่วิธีการแก้ปัญหาใหม่ ๆ สู่ตลาด

สอง ความริเริ่มในสาขาอุตสาหกรรม (sector initiatives) ที่ใช้เป็นแหล่งรวมผู้นำในอุตสาหกรรมเพื่อยกระดับมาตรฐานและข้อปฏิบัติทั่วทั้งอุตสาหกรรม และฟันฝ่าอุปสรรคความท้าทายที่มีร่วมกัน

และ สาม หุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้เสียหลายฝ่าย (multistakeholder partnerships) ที่ซึ่งภาครัฐภาคเอกชน และองค์กรภาคประชาสังคมจะมาเสริมแรงในการจัดการกับปัญหาความท้าทายที่ซับซ้อน

ขณะที่ในแวดวงธนาคารของไทยได้มีความตื่นตัวในการนำ “ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมสังคมและธรรมาภิบาล (ESG)” มาผนวกเข้ากับกระบวนการทางธุรกิจที่เป็นสายงานหลัก โดยเฉพาะสายงานการลงทุน และการให้สินเชื่อ ด้วยการใช้แนวปฏิบัติที่เป็นภายในของแต่ละธนาคารเอง รวมทั้งแนวทางที่พึงปฏิบัติอันเกิดจากการผลักดันของหน่วยงานกำกับดูแล

ในเดือนหน้านี้ (22-23 ก.ย.) จะมีการประกาศ “หลักการธนาคารที่รับผิดชอบ” หรือ “Principles for Responsible Banking” โดยหน่วยงานภายใต้สำนักงานโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติว่าด้วยข้อริเริ่มด้านการเงิน (UNEP Finance Initiative) ซึ่งจัดว่าเป็นความริเริ่มในสาขาอุตสาหกรรม (sector initiatives) ที่สำคัญในแวดวงธนาคาร และมีธนาคารชั้นนำทั่วโลกจำนวน 30 แห่งเข้าชื่อเป็นธนาคารร่วมก่อการ (founding banks) ที่พร้อมสนับสนุนหลักการดังกล่าว

หลักการธนาคารที่รับผิดชอบประกอบด้วยหลักการที่เป็นการปรับแนวทาง (alignment) ผลกระทบและการกำหนดเป้าหมาย (impact & target setting) ลูกค้าประจำและผู้ใช้บริการ (clients & customers) ผู้มีส่วนได้เสีย (stakeholders) ธรรมาภิบาลและการปลูกฝังวัฒนธรรม (governance & culture) ความโปร่งใสและการตรวจสอบได้ (transparency & accountability) โดยมีรายละเอียดดังนี้

หลักการที่ 1 ธนาคารจะปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้อง และเอื้อต่อความจำเป็นพื้นฐานของบุคคลและเป้าประสงค์ของสังคมตามที่ระบุในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Climate Agreement) และกรอบอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับภูมิภาคและระดับชาติ

หลักการที่ 2 ธนาคารจะเพิ่มระดับของผลกระทบเชิงบวก พร้อมกันกับลดระดับของผลกระทบเชิงลบอย่างต่อเนื่อง และจัดการกับความเสี่ยงที่มีต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม อันเป็นผลมาจากผลิตภัณฑ์บริการและการดำเนินงานของธนาคาร เพื่อการนี้ธนาคารจะมีการกำหนดและเผยแพร่เป้าหมายที่ธนาคารสามารถสร้างผลกระทบที่มีนัยสำคัญสูงสุด

หลักการที่ 3 ธนาคารจะให้บริการลูกค้าที่เป็นคู่สัญญาของธนาคาร และลูกค้าที่เป็นผู้ใช้บริการทั่วไปอย่างรับผิดชอบ เพื่อผลักดันให้เกิดแนวปฏิบัติที่ยั่งยืน และเปิดทางให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันทั้งแก่คนรุ่นปัจจุบัน และในรุ่นต่อไป

หลักการที่ 4 ธนาคารจะปรึกษาหารือ สานสัมพันธ์ และเป็นหุ้นส่วนร่วมดำเนินงานกับผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องในเชิงรุก และอย่างรับผิดชอบ เพื่อให้เกิดการบรรลุเป้าประสงค์ทางสังคม

หลักการที่ 5 ธนาคารจะแปลงข้อผูกพันที่ได้เห็นพ้องตามหลักการไปดำเนินการให้เกิดผล ผ่านการกำกับดูแลที่มีประสิทธิผลและการปลูกฝังให้เป็นวัฒนธรรมแห่งธนาคารที่รับผิดชอบ

หลักการที่ 6 ธนาคารจะมีการทบทวนแนวทางการปฏิบัติตามหลักการ ทั้งในระดับปัจเจกและในระดับกลุ่มอย่างสม่ำเสมอ มีความโปร่งใสที่สามารถตรวจสอบได้ต่อผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน รวมทั้งการมีส่วนร่วมในตอบสนองเป้าประสงค์ทางสังคม

ธนาคารของไทยที่อยากจะเข้าร่วมลงนามรับหลักการธนาคารที่รับผิดชอบฉบับที่เป็นสากลนี้ จะต้องแสดงความจำนงภายในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ และจะได้มีโอกาสเข้าร่วมในการเปิดตัว Principles for Responsible Banking ในเวทีการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ (United Nations General Assembly) ณ นครนิวยอร์ก ในช่วงระหว่างวันที่ 22-23 กันยายนนี้ด้วย