“สมคิด” ปาฐกถาพิเศษปิดท้ายงานประชุมหอการค้าทั่วประเทศครั้งที่ 37 ชี้ห่วงการเมืองกระทบเศรษฐกิจ

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่าวันนี้ (1 ธันวาคม 2562) หลังจากประธานกรรมการหอการค้าไทยกล่าวรายงานผลและมอบสรุปผลการประชุมหอการค้าไทยครั้งที่ 37 ยื่นสมุดปกขาวให้กับรองนายกรัฐมนตรี “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ได้ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ร่วมมือ ร่วมใจ ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคต”
 
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กล่าวว่า ทุกวันนี้คนเป็นกังวลเรื่องภาวะเศษฐกิจ แต่ต้องตั้งสติให้ดี สำหรับประเทศไทยเศรษฐกิจยังเติบโต แต่การเติบโตชะลอตัวลงมา เศรษฐกิจไม่ได้หดตัวหรือติดลบ จีดีพีไทยเติบโต 2.4% ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลก
“ที่มันโตได้เพราะไขมันที่รัฐบาลเก็บมา ถ้าไม่มีไขมันจาก 4-5 ปีที่แล้ววันนี้คุณเหนื่อยแน่ หากไม่มีจะมีแรงเสียดทานกับตลาดโลกแน่ ถ้าทำไมเศรษฐกิจไทยยังชะลอตัว ตั้งแต่ต้นปีจนมาถึงเดี๋ยวนี้ IMF ปรับลดลงมา 4 ครั้งแล้วเหลือ 3% ภายในไม่กี่เดือน ทำให้การค้าขายของโลกชะลอตัวหมด”
 
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกเติบโตได้เพราะเศรษฐกิจจีน เมื่อจีนแข็งแรงก็ทำให้การค้าโลกเติบโตขึ้นมา หากเศรษฐกิจจีนตกลงไปยุโรปก็เช่นกัน รวมถึง ญี่ปุ่น อเมริกา เหลือเพียงประเทศเศรษฐกิจใหม่ที่ยังเติบโตอยู่ เมื่อการค้าประเทศหลักตกลงต่ำลว ทั้งส่งออก-นำเข้าทุกประเทศหดตัวตามไปด้วย ส่วยไทย 60-70% ยังอยู่ที่การส่งออกจึงได้รับผลกระทบ
ไม่ว่าจะเป็นสินค้าส่งออกอย่างภาคเกษตร อุสาหกรรม สิ่งทอ เสื้อผ้า และทั้งหมดนี้เป็นอุตสาหกรรมซัพพลายเชนของจีน
 
ปัจจุบันอเมริการะบุว่าประเทศไทยมีสิทธิเข้าไปเป็น 1 ในประเทศที่จะถูกมาตรการกีดกันทางการค้า ฉะนั้นต่องพยายามแก้อย่างเงียบๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องต้องการือกับคลังเพื่อผ่อนปรนให้ได้ ทุกคนต้องช่วยกัน ยิ่งเงินบาทแข็งกระทบส่งออก เห็นชัดว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวไม่ได้ง่ายที่จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง ต้องทำให้เอกชนของยกระดับตัวเองขณะที่ยุคดิจิทัลกำลังมา
 
สำหรับเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว ไม่เพียงแต่มาจากการส่งออกหรือค่าเงินบาทแข็งเท่านั้น ตั้งแต่ประกาศเลือกตั้งจนกว่าจะมีรัฐบาล มีตัวเลขการเบิกจ่ายราชการ-รัฐวิสาหกิจติดลบ 6-7 เดือน เมื่อมีรัฐบาลสถานการณ์จึงดีขึ้น แต่เหลือการเบิกจ่ายอีกกว่าแสนกว่าล้านบาท การลงทุกของเอกชน ณ ปัจจุบันก็อยู่ที่ 20% ของจีดีพี เรียกได้ว่าเป็นปัญหาขั้นพื้นฐานในโครงสร้างที่ต้องเปลี่ยนแปลง แต่ต้องประคับประคองเศรษฐกิจให้อยู่รอด ซึ่งในไตรมาส 4 ค่อนข้างมั่นใจว่าจะดีขึ้นเพราะมีสัญญาณโดยกระทรวงการคลังเริ่มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมารอบที่ 2 เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวในปลายปี
 
“หากหวังจีดีพี 5-6% มันเป็นฝันหวานนะ เมื่อก่อนยุกต้มยำกุ้งการเติบโตทางเศรษฐกิจตัวเลขเราโต 2 หลักทุกอย่างบูมหมด ช่วงหนึ่ง 11-12% ก็คือเวียดนามสมัยนี้ สิ่งเหล่านั้นเราโตไปแล้ว อย่าไปอิจฉาเขา เพราะเขาคือเมืองไทยสมัยก่อน ฉะนั้นถ้าไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิต อะไหล่ ยานยนต์รถยน ไอที ข้าว มัน ไอที ก็ไม่สามารถเติบโตได้ เราต้องพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง การทำธุรกิจไม่ใช่ผลิตอย่างเดียว แต่อยู่ที่การสร้าแพลตฟอร์มดิจิทัล สร้างแรงงาน สร้างงาน”
 
ทั้งนี้ ตัวเลขจีดีพีของประเทศไทย 57% มาจากบริการ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ ทั้งโลจิสติก ท่องเที่ยวชุมชน เป็นอุตสาหกรรมหลัก ต้องผลักดันอย่างการท่องเที่ยวเมืองรอง โครงการ “ชิม ช้อป ใช้” ให้เงินหมุนเวียนต่อปี
 
ด้าน ภาคธุรกิจ ดร.สมคิด กล่าวว่า การเกิด EEC เรียกได้ว่าเกิดการได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างไทยจีนยุคไหนแน่นแฟนเท่ายุคนี้ รวมถึงญี่ปุ่น เราขายคอนเซ็ป EEC เพื่อให้เกิดการลงทุนและเกิดข้อตกลงร่วมกันระหว่างไทย-จีน, ไทย-ญี่ปุ่น ชูจุดเด่นการเป็นฮับของ CLMV ขายวอลุ่มทางการค้าให้เกิดการขยายฐานทางเศรษฐกิจ
 
ปัจจุบันกำลังแรงงานของประเทศไทยมีทั้งหมด 37 ล้านคน ว่างงาน 4 แสนคนหรือ 1% ต่ำที่สุดของโลก แต่มีข่าวหรือเพียงเพราะว่าแย่งชิงอำนาจทางการเมือง ทุกคนทุกประเทศประเผชิญพายุ สิ่งสำคัญคือคนไทยต้องสามัคคีกันก้าวข้างความขัดแย้งไปก่อน เมืองไทยไม่ต่องทำไทยเท่ เพราะเท่มากที่สุดอยู่แล้วในอาเซียน เป็นศูนย์กลางของ CLMV มีการเชื่อโยงกับประเทศรอบข้าง แต่สิ่งสำคัญต้องต้องทำให้เท่จริงๆ โคตรงสร้างเศรษฐกิจต้องเป็นอยาคต ดิจิทัลต้องทรานฟอร์ม
 
“เมื่ออทิตย์ที่ผ่านมาไมโครซอฟจากสิงคโปร์ โครงการยักษ์ใหญ่มูลค่าการลงทุนเป็นบิลเลี่ยนมาดูว่าเราจะสร้างความมั่นใจให้เขามากน้อยแค่ไหน เมืองไทยมันต้องเท่ ต้องทำให้เขามั่นใจว่านโยบายไม่เปลี่ยนต่อให้รัฐบาลเปลี่ยน ต้องสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน”
 
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้สอบถามเกี่ยวกับสถาณ์การณ์ทางการเมือง ว่ากังวลเกี่ยวกับสภาล่มครั้งที่ 3 หรือไม่ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ บอกว่า ให้มองโลกในแง่ดี