โรคซึมเศร้า ปัญหาใหญ่ในรั้วมหา’ลัย จุฬาฯผุดหลักสูตร “เพื่อนสร้างสุข”

อบรมหลักสูตร เพื่อนสร้างสุข

สถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ นำร่องหลักสูตรเพื่อนสร้างสุข หวังลดปัญหาภาวะความเครียด-โรคซึมเศร้า-โรคไบโพลาร์ ที่สูงกว่าร้อยละ 40 ในรั้วมหาวิทยาลัย

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เร่งขับเคลื่อนหาแนวทางลดปัญหาสุขภาพจิต สานต่อโครงการสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) หลังพบภาวะความเครียด-ซึมเศร้า ติดชาร์จปัญหาอันดับหนึ่งของนิสิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย เครือข่าย 15 มหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการ ต่างกังวลใจและตระหนักถึงความสำคัญเพื่อเร่งหาทางออกในการลดปัญหาดังกล่าว

นิสิตนักศึกษา 30% รู้สึกเศร้าบ่อย

โดยผลสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย พบว่านิสิตนักศึกษา ร้อยละ 30 รู้สึกเศร้าบ่อยครั้งถึงตลอดเวลา, ร้อยละ 20 รู้สึกหดหู่ วิตกกังวลและรู้สึกหมดหวัง, ร้อยละ 4.3 ที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่ามีอาการทางจิตเวชอย่างโรคซึมเศร้า และโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar), ร้อยละ 4 ของนิสิตนักศึกษามีความคิดฆ่าตัวตายอยู่บ่อยครั้งถึงตลอดเวลา และร้อยละ 12 เคยลงมือทำร้ายตนเอง โดยในจำนวนนี้มีถึงร้อยละ 1.3 ที่ได้ลงมือทำร้ายร่างกายตนเองบ่อยครั้งถึงตลอดเวลา

ดร.พิชญา สุรพลชัย ผู้จัดการโครงการสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยถึงข้อมูลเชิงลึกของผลสำรวจว่าตัวแปรสำคัญที่ทำให้นิสิตนักศึกษาคิดฆ่าตัวตาย ได้แก่ เกรดหรือผลการเรียน การเป็นหนี้ ความรัก นิสิตนักศึกษาส่วนหนึ่งเป็นหนี้ กยศ. หนี้ค่าใช้จ่ายประจำวันและค่าหอพัก ส่งผลต่อการเกิดความเครียดสะสม นอกจากนั้นยังพบว่า มีนิสิตนักศึกษากว่าร้อยละ 40 มีความเครียดอยู่ในระดับมาก

ยิ่งไปกว่านั้น มีความสัมพันธ์กับหลายปัจจัยอื่น อาทิ ชั้นปีการศึกษาที่สูงขึ้นก็มีแนวโน้มที่จะมีความเครียดมากขึ้น นอกจากนี้ครอบครัวก็มีส่วนทำให้เกิดความเครียด โดยเฉพาะพ่อแม่ที่มีการศึกษาสูง และครอบครัวที่พ่อแม่ไม่มีรายได้ก็ยิ่งส่งผลให้นิสิตนักศึกษามีความเครียดมากกว่า เป็นต้น

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังแสดงผลถึงคะแนนด้านการสร้างเสริมสุขภาพแบบองค์รวมใน 4 มิติ ทั้งกาย จิต ปัญญา และสังคม พบว่าค่าเฉลี่ยสุขภาพทางปัญญาของนิสิตนักศึกษาอยู่ในเกณฑ์คะแนนต่ำที่สุดจาก 4 มิติดังกล่าว สะท้อนได้จากการจัดการชีวิตและการจัดสรรเวลาของตัวเองไม่ดีเท่าที่ควร มีทั้งแบบจัดการได้บ้าง ไม่ได้บ้าง อีกทั้งยังมีคะแนนความพึงพอใจในตัวเองและความรู้สึกดีในชีวิตอยู่ที่ระดับปานกลางเท่านั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ากังวลในระยะยาว

พัฒนาหลักสูตรเพื่อนสร้างสุข

ทั้งนี้ ดร.ศิริเชษฐ์ สังขะมาน ที่ปรึกษาโครงการสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะจึงได้พัฒนาหลักสูตรอบรมพิเศษเพื่อนสร้างสุข ขึ้นมาเพื่อช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพจิตในกลุ่มนิสิตนักศึกษา

โดยหลักสูตรนี้มุ่งเน้นให้ผู้เข้าอบรมได้รู้จักตัวเอง รู้จักรักและเข้าใจตนเองก่อนที่จะรู้จักรับฟังผู้อื่นอย่างเข้าใจ ฝึกการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ และการพัฒนาความยืดหยุ่นทางจิตใจ (Resilience) และมีการจำลองสถานการณ์เพื่อผู้เข้าฝึกอบรมจะได้ทดลองปฏิบัติจริง

ซึ่งจะเน้นการสื่อสารรับฟังอย่างเข้าใจและใกล้ชิดเป็นสำคัญ นับเป็นอีกกลไกสำคัญที่สนับสนุนการพัฒนาทางด้านความคิด ปัญญา และอารมณ์ ให้แก่นักศึกษาและผู้เข้าร่วมหลักสูตรสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ที่สำคัญนำไปถ่ายทอดและให้คำปรึกษาแนะนำแก่เพื่อน ๆ และผู้อื่นได้อย่างมีหลักการและมีเหตุมีผล

กิจกรรมหลักสูตร เพื่อนสร้างสุข pic1_resize

โดยสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ ได้นำหลักสูตรเพื่อนสร้างสุขมาใช้นำร่องร่วมกับวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม เป็นแห่งแรก

นำร่องใช้ที่ มมส.ที่แรก

ผศ.กันตา วิลาชัย คณบดีวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) ให้ข้อมูลว่าจากสถานการณ์โควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้นิสิตนักศึกษาไม่ได้พบปะพูดคุยและขาดปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ต่างคนต่างเรียน และเข้ามามหาวิทยาลัยน้อยมาก

ซึ่งเราเองก็พบปัญหา ทางมหาวิทยาลัยเองจึงได้มีการจัดตั้งโครงการให้คำปรึกษาเพื่อนช่วยเพื่อน และมีทีมคณะกรรมการให้คำปรึกษา รวมถึงหน่วยปฏิบัติเองก็มี “ห้องขอเล่า” ซึ่งพอกลับมาสู่ภาวะการเรียนตามปกติ คณะครูอาจารย์และนิสิตต่างก็มีความประสงค์ขอเข้าร่วมหลักสูตรเพื่อนสร้างสุข ของสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างสัมพันธ์อันดีทั้งระหว่างนิสิตด้วยกันเอง ระหว่างบุคลากรในมหาวิทยาลัยด้วยกัน หรือแม้แต่ระหว่างนิสิตกับคณะครูอาจารย์ ทำให้เกิดสุขภาวะทางจิตที่ดีและสังคมน่าอยู่ภายในมหาวิทยาลัย

กิจกรรมหลักสูตร เพื่อนสร้างสุข pic3_resize

“หลักสูตรนี้มีประโยชน์มาก มีนิสิตและบุคลากรของวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เข้าร่วมฝึกอบรมกว่า 50 คน ทำให้พวกเขาได้เครื่องมือจากกระบวนการเรียนรู้ ได้พัฒนาทักษะการฟังอย่างลึกซึ้ง เรียนรู้กระบวนการผีเสื้อกระพือปีก คือได้รู้จักรักและโอบกอดตัวเอง และทำให้พวกเขาได้วิธีคิดติดตัวไป รู้จักที่จะยอมรับตนเอง เข้าใจตนเอง ก่อนที่จะเข้าใจและรับฟังผู้อื่น รู้จักจัดการกับความเครียด อารมณ์ และความรู้สึกของตนเอง ทำให้เพื่อน ๆ ที่จะเข้ามาปรึกษารู้สึกไว้วางใจที่จะพูดคุยด้วย

ส่วนคนที่รับฟังก็รู้สึกภูมิใจที่ตนเป็นที่พึ่งให้เพื่อนได้ มีความเข้าใจเพื่อนมากขึ้น และแปลการสื่อสารของเพื่อนได้ดีขึ้น ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยเองมีแผนที่จะนำหลักสูตรเพื่อนสร้างสุขไปต่อยอดให้เป็นกระบวนการเรียนรู้และจัดการเพื่อลดปัญหาด้านสุขภาพจิตภายในมหาวิทยาลัยให้เป็นระบบต่อไป ซึ่งก็สอดคล้องกับโครงการเพื่อนช่วยเพื่อนของมหาวิทยาลัยที่มีอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว”

เล็งขยายหลักสูตรสู่มหาวิทยาลัยอื่น

อย่างไรก็ตาม ดร.พิชญา สุรพลชัย สรุปปิดท้ายว่า จากผลการศึกษาหลาย ๆ แห่ง ระบุว่ากลุ่มที่สามารถเข้าถึงนิสิตนักศึกษาที่มีปัญหาได้มากที่สุด คือ กลุ่มเพื่อนฝูง เพราะอยู่ในเจนเนอเรชั่นเดียวกัน พูดคุยสื่อสารภาษาเดียวกัน และพร้อมเปิดใจกันได้ทั้งเรื่องการเรียนและเรื่องส่วนตัว จึงจำเป็นที่จะต้องดึงกลไกเพื่อนช่วยเพื่อน ผ่านหลักสูตรเพื่อนสร้างสุขเข้ามาจัดการปัญหาสุขภาพจิตกับนิสิตนักศึกษา

ซึ่งผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่านิสิตนักศึกษายินดีที่จะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือความไม่สบายใจให้กับกลุ่มเพื่อนมากกว่าที่จะเข้าไปปรึกษากับอาจารย์หรือหน่วยงานในมหาวิทยาลัย ซึ่งมีเพียงประมาณร้อยละ 1-2 เท่านั้น ถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ๆ

โดยการขับเคลื่อนกลไกเพื่อนช่วยเพื่อนจะสร้างแกนนำนิสิตนักศึกษาในการดูแลและเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพจิตของเพื่อนร่วมชั้นเรียน ผ่านการอบรมและทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา โดยในระยะแรก สถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ ได้นำร่องร่วมกับวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งจะมีการติดตามผลและปรับพัฒนาหลักสูตรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะทดลองเป็นต้นแบบเพื่อปรับใช้กับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ต่อไป และมุ่งหวังว่าหลักสูตรเพื่อนสร้างสุข จะช่วยหนุนเสริมการเฝ้าระวังในรั้วมหาวิทยาลัยได้อีกช่องทางหนึ่ง