หุ้นกลุ่ม ปตท.ตีปีกรับกำไรฟู่ฟ่า ปีนี้ลุ้น 2.17 แสนล้าน-ชี้ปิด Q4/60 โต 61%

หุ้นกลุ่ม ปตท.วิ่งฉิวนำตลาด อานิสงส์ราคาน้ำมันโลกปีนี้ดีดขึ้นอีกระลอก ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ชี้ปีนี้โตต่อเนื่อง ลุ้นโกยกำไร 2.17 แสนล้านบาท พร้อมปรับคาดการณ์ราคาน้ำมันเฉลี่ย 66 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนไตรมาส 4/60 โชว์ฟอร์มเจ๋ง กำไรรวมอู้ฟู่ 5.5 หมื่นล้าน เด้งกว่า 61% หนุนทั้งปีླྀ พุ่ง 2.11 แสนล้าน ค่ายเมย์แบงก์ ชู “PTT-PTTEP” ดี๊ด๊า

ผู้สื่อข่าวรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ณ 26 ม.ค. 61) ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นค่อนข้างร้อนแรง โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียน ที่อยู่ในเครือของ บมจ.ปตท.ประกอบด้วย

บมจ.ปตท. (PTT), บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP), บมจ.ไทยออยล์ (TOP), บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC), บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) และ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ที่มีปริมาณการซื้อขายอย่างหนาแน่น ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำโดย PTTEP ราคาหุ้นวิ่งขึ้น 19.50%, GPSC ปรับตัวขึ้น 14.58%, PTTGC +13.53%, PTT +11.36%, IRPC +4.96% และ TOP +1.45% ถือว่าส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 4.29% และสูงกว่ากลุ่มพลังงานโดยรวมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 9.61%

นางสาวนลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ฝ่ายวิจัยได้ประมาณการผลการดำเนินงานของกลุ่ม ปตท.จำนวน 5 บริษัท (ยกเว้น GPSC ไม่มีบทวิเคราะห์ครอบคลุม) ของงวดไตรมาส 4/2560 โดยคาดว่า กลุ่มปตท.จะมีกำไรสุทธิรวมประมาณ 55,484 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 61.02% จากไตรมาส 3/2560 ที่ผ่านมา และส่งผลให้ทั้งปี 2560 กลุ่ม ปตท.จะมีกำไรสุทธิรวมประมาณ 211,570 ล้านบาท

สาเหตุที่กำไรสุทธิของกลุ่ม ปตท.ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาน้ำมันดิบดูไบในปีที่แล้วเฉลี่ยอยู่ที่ 53 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่เฉลี่ย 41.4 เหรียญต่อบาร์เรล ขณะที่กลุ่มโรงกลั่นยังจะได้รับอานิสงส์การบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมัน (stock gain) รวมถึงค่าการกลั่นและส่วนต่าง (สเปรด) ของผลิตภัณฑ์ทั้งในส่วนของโรงกลั่นและปิโตรเคมีก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ดี

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2561 ของ 5 บริษัทในกลุ่ม ปตท.ทางฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ประมาณการว่ากำไรสุทธิโดยรวมจะเติบโตประมาณ 3% หรือทำได้ราว 217,962 ล้านบาท โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 66 เหรียญต่อบาร์เรล บริษัทจึงได้ปรับคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยของปีนี้ เพิ่มขึ้นเป็นระดับ 65 เหรียญต่อบาร์เรล จากเดิมที่คาดอยู่ระดับ 60 เหรียญต่อบาร์เรล

Advertisment

นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย นักวิเคราะห์ หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานกลุ่ม ปตท.ปีนี้มองว่าภาพรวมราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องน่าจะเป็นแรงบวกหลักของกลุ่ม ปตท. โดยเฉพาะ PTT และ PTTEP ซึ่งจะมีผลการดำเนินงานที่ดีมากที่สุดในกลุ่ม เพราะโครงสร้างของ 2 บริษัทนี้เน้นรายได้มาจากการขายน้ำมันและก๊าซเป็นหลัก ทำให้ได้ประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูง

ขณะที่บริษัทที่อยู่ในกลุ่มโรงกลั่น (หุ้น TOP และ IRPC) คาดว่าผลการดำเนินงานจะทรง ๆ หรือลดลงเล็กน้อย (ไม่รวมกำไรจากสต๊อกน้ำมัน) เพราะราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จะกดดันให้ค่าการกลั่นทรงตัวหรืออ่อนตัวลงเล็กน้อย ส่งผลให้ผลงานปีนี้ อาจจะไม่หวือหวานัก ส่วนสายปิโตรเคมี (PTTGC) คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากราคาเม็ดพลาสติกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และธุรกิจโรงไฟฟ้า (GPSC) ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ ๆ

“ช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้นในกลุ่มสะท้อนไปได้ระดับหนึ่งแล้ว หลังจากนี้นักลงทุนควรเลือกตัวในการเข้าเก็งกำไรด้วย โดยมองว่ากลุ่มธุรกิจน้ำมันขั้นต้นน่าจะได้ประโยชน์มากกว่ากลุ่มขั้นปลาย ซึ่งแนะนำเลือก PTT และ PTTEP เป็นตัวที่โดดเด่นสุดของกลุ่ม” นายสุทธิชัยกล่าว