เปิด 4 เคล็ดลับ แก้พอร์ตแดง ไปต่อหรือพอแค่นี้

หุ้นร่วง
บทความโดย “จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์” 
ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทย

วันที่ 21 สิงหาคม 2566 โอ๊ย เปิดดูพอร์ตกองทุนรวมมีแต่ติดลบ ดูกองไหนก็แดง จนอดถามตัวเองไม่ได้ว่า ไปต่อหรือพอกันที ถ้าใครมีอาการแบบนี้ ต้องบอกว่า คุณมีเพื่อนร่วมทางเต็มยอดดอยพอร์ตแดง ๆ เพราะในช่วงที่เต็มไปด้วยสถานการณ์ไม่แน่นอน

เช่น เกิดสงคราม มีโรคระบาด หรือภัยพิบัติ ที่ไม่มีใครคาดคิด และส่งผลเป็นลูกโซ่ต่อเศรษฐกิจหรือกิจการที่กองทุนลงทุนอยู่ ผู้ลงทุนก็มีโอกาสเจอกับพอร์ตติดลบได้

หากย้อนไปมื่อปี 2565 จะเห็นได้ชัดเจนว่า ลงทุนในหุ้น ซึ่งเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง จะขาดทุนมาก เพราะเวลาผู้คนไม่มั่นใจกับเศรษฐกิจก็เลือกเทขายสินทรัพย์เสี่ยง หนำซ้ำ ยังมีแรงเทขายเพิ่มอีกจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

ทำให้ความน่าสนใจของหุ้นน้อยลง พอลงทุนในตราสารหนี้ ที่ว่ากันว่าเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ ก็ขาดทุนเหมือนกัน ในช่วงที่ดอกเบี้ยขึ้นเร็ว จนทำให้ราคาตราสารหนี้เดิมที่กองทุนถืออยู่ปรับลดลง เพราะให้ดอกเบี้ยน้อยกว่าตราสารหนี้ที่กำลังจะออกใหม่  

ส่วนในปี 2566 เศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นผลพวงจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อสู้กับเงินเฟ้อในปีที่ผ่านมา ฉะนั้นโอกาสที่ตลาดจะผันผวนสูงก็มีอยู่ ทางที่ดีผู้ลงทุนจึงควรเตรียมพร้อมรับมือพอร์ตลงทุนที่มีโอกาสแดงยกพอร์ตได้อีก โดยมี 4 เคล็ดลับดี ๆ มาแนะนำ

ทำใจ แล้วอยู่เฉย ๆ

บางคนอาจจะอึ้ง คิดว่า เราทำได้แค่นี้จริงหรือ ก็ต้องตอบว่า ใช่ ในกรณีที่คุณมองว่า พอร์ตลงทุนของตัวเองจัดสรรสินทรัพย์หลากหลายเพียงพอและมีระดับความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวมที่เหมาะสมกับตัวเองแล้ว เป็นพอร์ตที่ออกแบบตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินที่วางไว้แต่แรก และเป้าหมายมีเวลาอีก 3 ปี 5 ปี หรือ 10 ปีขึ้นไป

เมื่อการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนมีโอกาสขาดทุนได้ และการขาดทุน ไม่ได้เกิดจากสินทรัพย์ไม่ดี ไม่มีคุณภาพ แต่มาจากสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ แต่สถานการณ์เหล่านี้มาแล้วผ่านไป เมื่อทุกอย่างคลี่คลาย กลับสู่ภาวะปกติ

หากสินทรัพย์นั้นมีคุณภาพ ก็จะฟื้นตัว และมีโอกาสกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีได้ การทำใจร่ม ๆ อยู่เฉย ๆ ก็คือคำตอบ

ถ้าคิดว่าดี ลงทุนต่อเนื่องไป

ในกรณีที่เรามั่นใจว่า พอร์ตลงทุนของเรามีการกระจายลงทุนที่ดีแล้ว และระดับความเสี่ยงเหมาะสม กองทุนที่เลือกมาดีอยู่แล้ว แต่ไม่อยากทำใจและอยู่เฉย อีกวิธีที่ทำได้คือ เดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง โดยอาจใช้วิธีการทยอยลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่ากันทุกเดือน (Dollar Cost Average : DCA) ก็ได้

ข้อดีของการทำ DCA คือ ผู้ลงทุนมีโอกาสได้ซื้อกองทุนที่ใช่ในราคาที่ถูกลงกว่าช่วงก่อนหน้านี้ที่สถานการณ์ตลาดโดยรวมดี

และเมื่อทยอยลงทุนเรื่อย ๆ ก็จะช่วยให้พอร์ตกองทุนของเรามีต้นทุนเฉลี่ยโดยรวมลดลง เมื่อเทียบกับการไม่ทำอะไรเลย แต่ถ้าเลือกวิธีนี้ ต้องมั่นใจก่อนว่า กองทุนที่เราเลือกไว้ เป็นกองทุนที่ใช่สำหรับอนาคตจริง ๆ

ถ้าใจบอกไม่ไหว ให้ปรับพอร์ต

ใครที่กลับมานั่งดูพอร์ตลงทุนตัวเองแล้วพบว่า ที่ฉันเคยคิดว่าจะรับความเสี่ยงสูงไหว เช่น อัดเงินใส่กองทุนหุ้นต่างประเทศไปเต็มข้อ เพราะไหวแหละ แต่พอเจอสถานการณ์จริง ใจหวิว ไม่ไหวเลย แนะนำให้ปรับพอร์ตลงทุน ในที่นี้ อาจไม่ใช่การขายกองทุนรวมที่ขาดทุนหนัก ๆ ออกมาทันที แต่อาจลองคำนวณสัดส่วนกองทุนรวมที่ถืออยู่ให้ดีว่า ปัจจุบัน เงินของเราอยู่ในกองทุนที่มีระดับความเสี่ยงสูงหรือเสี่ยงต่ำเท่าไหร่

สมมติว่าเดิม ลงทุนในกองทุนรวมหุ้น 80% ลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้แค่ 20% แล้วพบว่า พอร์ตผันผวนสูง มีโอกาสขาดทุนสูง เคยคาดว่าจะรับผลขาดทุน 20% หรือ 50% ได้ แต่เจอสถานการณ์จริง แค่ 15% ก็ใจบาง พอ 20% ก็นอนไม่หลับ

แนะนำว่า ให้นำเงินใหม่ที่จะลงทุนเพิ่ม ไปลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ความเสี่ยงต่ำเพิ่มขึ้น เพื่อให้สัดส่วนเงินลงทุนโดยรวมที่อยู่ในกองทุนหุ้นน้อยลง ส่วนเงินที่อยู่ในกองทุนรวมความเสี่ยงสูง ๆ เมื่อปรับตัวขึ้นมาถึงจุดที่รับได้ ก็อาจโยกย้ายเงินบางส่วนไปอยู่ในกองทุนรวมที่ความเสี่ยงต่ำกว่า  

ไม่รักกันแล้วก็ตัดใจ แยกย้ายไปหาใหม่

อาจดูใจร้าย แต่เป็นอีกทางเลือกที่ต้องพูดถึง โดยไม่แนะนำให้ตัดใจขายขาดทุนด้วย “อารมณ์” แต่ควรเป็นการตัดใจด้วย “เหตุผ”

ถ้าพิจารณาแล้วว่ากองทุนรวมที่ติดลบหนักอาจไม่ได้เป็นเพราะสถานการณ์แวดล้อมอย่างเดียว แต่เป็นเพราะผู้จัดการกองทุนเลือกสินทรัพย์ไม่ดี ไม่มีคุณภาพ หรือนโยบายลงทุนของกองทุนนั้นไม่ตอบโจทย์เทรนด์ในอนาคตเลย มองไปแล้วไม่เห็นทางรอด จนผู้ลงทุนมั่นใจว่าขายออกแล้วขาดทุนหนักตอนนี้จะไม่เสียใจ คำแนะนำให้ตัดใจและขายทิ้ง ก็ดูจะตรงที่สุด

อย่างไรก็ตาม หากตัดสินใจเลือกทางนี้เพื่อไปหากองทุนใหม่ที่ใช่กว่า ผู้ลงทุนต้องพิจารณากองทุนที่จะไปเริ่มต้นใหม่ให้ดีว่ามีนโยบายการลงทุนตอบโจทย์เป้าหมายในอนาคตหรือไม่ มีระดับความเสี่ยงที่ตัวเองรับไหวจริงหรือเปล่า นอกเหนือจากพิจารณาผลการดำเนินงานในอดีตที่ไม่อาจยืนยันอนาคตได้

สุดท้ายนี้ การลงทุนมีความเสี่ยง ที่ระหว่างทางเรามีโอกาสขาดทุนได้แน่ ๆ การคาดหวังให้พอร์ตลงทุนเป็นบวกทุกช่วงเวลา อาจไม่ใช่เรื่องง่าย หรือแทบเป็นไปไม่ได้ หากเราต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝากหรือเงินเฟ้อ ย่อมต้องแลกด้วยความเสี่ยงที่สูงขึ้น

ซึ่งนั่นหมายความว่า ความไม่แน่นอนเป็นสิ่งแน่นอนที่ผู้ลงทุนต้องเจอ ขอเพียงในจุดเริ่มต้นของการลงทุน เราพิจารณาดีแล้วว่า ลงทุนเพื่อเป้าหมายอะไร เป้าหมายนั้นมีระยะเวลานานแค่ไหน แล้วเลือกสินทรัพย์ลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมาย มีการกระจายการลงทุนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่เรารับไหวจริง ๆ

โดยระหว่างการเดินทางสู่เป้าหมาย อย่าหวั่นไหว มองข้ามชอตไปให้ถึงปลายทาง แล้วเดินหน้าต่อไป เพียงเท่านี้เราก็อยู่กับพอร์ตแดง ๆ ในปัจจุบันได้แบบสบายใจ และมีโอกาสพบผลตอบแทนที่ตรงใจในอนาคตแล้ว ขอให้ทุกท่านโชคดีในเส้นทางการลงทุน