กองทุนหุ้นอินเดียเริ่มน่าสนใจ นักลงทุนเบนเข็มกระจายพอร์ตหนีจีน

กองทุนหุ้นอินเดีย

ตลาดหุ้นอินเดียถูกพูดถึงมากขึ้นสำหรับนักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะหลังจากสถานการณ์ตลาดหุ้นจีนไม่ดีมาหลายไตรมาส ซึ่งข้อมูลของบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) ชี้ว่า นักลงทุนเริ่มมองหาโอกาสสำหรับตลาดใหม่ในการลงทุน ซึ่งอินเดียก็เป็นอีกตลาดที่อยู่ในความสนใจ จากผลตอบแทนที่โดดเด่นในไตรมาสที่ 2/2566

“Ramanand Kothari” นักวิเคราะห์อาวุโสของ บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช กล่าวว่า ตลาดหุ้นอินเดียทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือน ก.ค. โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นขนาดกลางและเล็ก ซึ่งอินเดียยังคงเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค และมีกระแสเงินไหลเข้าตลาดทุนอย่างแข็งแกร่ง จากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ ผลประกอบการของบริษัทที่ดี และอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง

“ปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุนเห็นศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของอินเดีย อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นอินเดียกลับมาอ่อนตัวลงและกลับไปสู่ระดับปกติมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดพอจะคาดได้อยู่แล้ว ทั้งนี้ ในบางอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ ทำผลตอบแทนได้ดีมาก โดยมีปัจจัยหนุนมาจากต้นทุนการผลิตที่ลดลง เมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลง”

ข้อมูลของมอร์นิ่งสตาร์ฯระบุด้วยว่า ปัจจุบันกองทุนหุ้นอินเดียมีทั้งหมด 29 กองทุน และมีผลตอบแทนเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี (YTD) อยู่ที่ 9% โดยกองทุนที่มีผลตอบแทนสูงสุด ได้แก่ กองทุน TISCOINA-A จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ ผลตอบแทนอยู่ที่ 17.76% (ดูตาราง)

ตาราง ผลตอบแทนหุ้นอินเดีย

ด้าน “พูนสิน เพ่งสมบูรณ์” AVP, Portfolio Management บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง กล่าวว่า เศรษฐกิจอินเดียมีแนวโน้มเติบโตที่ค่อนข้างสูงจากฐานประชากร 1,430 ล้านคน มากที่สุดในโลกแซงหน้าจีนไปแล้ว

นอกจากนี้ ประชากรในอินเดียยังมีค่าเฉลี่ยอายุที่ค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 28 ปี บ่งชี้ได้ว่าประชากรส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยแรงงาน ซึ่งทำให้มีการเติบโตของรายได้และการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้กำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในอินเดียจะเติบโตในอนาคต

โดยนักวิเคราะห์ได้ปรับคาดการณ์กำไรของบริษัทที่อยู่ในดัชนี MSCI INDIA ในปี 2566 นี้จะเติบโต 17% จากปี 2565 ฉะนั้นตลาดหุ้นอินเดียเป็นกลุ่มที่น่าสนใจและน่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า

“อินเดียเป็นหนึ่งประเทศที่จะได้ประโยชน์ค่อนข้างมากจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีน ในเรื่องของการเป็นฐานการผลิตใหม่ ทั้งนี้ ข้อมูล ณ สิ้นเดือน ก.ค. พบว่าอินเดียมีเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้ามามากถึง 7 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเม็ดเงินที่เข้าลงทุนจะอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี กลุ่มบริการ และกลุ่มฟาร์มาซูติคอล”

ฟาก “มทินา วัชรวราทร” CFA ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ในเชิงโครงสร้างอินเดียจะกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูง ในฝั่งของเอเชีย และจะเป็นประเทศที่มี GDP เติบโตมากกว่า 5% ในอีกอย่างน้อย 3 ปี ซึ่งตลาดลักษณะนี้ค่อนข้างหายาก นอกจากนี้ อินเดียได้ผ่านวิกฤตมาแล้วในช่วงปี 2015 ที่จีนมีปัญหาเรื่องอสังหาริมทรัพย์และเกิดฟองสบู่แตก อินเดียก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากเป็นคู่ค้ากัน

“ราคาบ้านในอินเดีย ปรับตัวลงในช่วงปี 2015-2018 ซึ่งรัฐบาลอินเดียมีการใช้นโยบายลดหนี้ภาคอสังหาฯ ลดหนี้ในภาคเอกชน สะท้อนว่าอินเดียผ่านช่วงที่หนักมาก่อนแล้ว ดังนั้นในช่วงโควิดจึงเห็นว่าอินเดียได้รับผลกระทบไม่มาก เพราะรัฐบาลมีความสามารถในการใช้จ่ายและมีการลดหนี้ไปในช่วงก่อนหน้านั้นแล้ว”

ทั้งนี้ ในช่วงโควิดปี 2020 เกิดสภาพคล่องล้นมาจากฝั่งสหรัฐก็เป็นผลดีต่อตลาดอินเดีย เพราะนักลงทุนมองเห็นว่าอินเดียมีโอกาสเติบโตอีกไกล อินเดียจึงปรับตัวขึ้นได้ดี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาให้ความสนใจมากขึ้นและทำให้รัฐบาลอินเดียมีนโยบายที่จะสนับสนุนตลาดทุนและสื่อสารกับนักลงทุนรายย่อย จนตอนนี้ผ่านมา 3 ปี เห็นได้ชัดว่านักลงทุนรายย่อยมีการเข้ามาลงทุนอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงนักลงทุนต่างชาติก็เพิ่มมากขึ้น

“นักลงทุนไทยลงทุนตลาดหุ้นอินเดียในสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย โดยใน 100% ของฟันด์โฟลว์ที่ไหลเข้าอินเดีย มีเพียง 0.5% ส่วนที่เหลือไปเข้าจีนกับเวียดนาม เพราะด้วยความที่อาจจะเป็นตลาดที่เข้าใจค่อนข้างยาก แต่เรามองว่าอินเดียเป็นตลาดที่น่าสนใจ แม้ราคาหุ้นค่อนข้างแพง และน่าจะแพงไปอีกสักระยะหนึ่ง แต่ก็เป็นตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี จึงมีมุมมองเชิงบวกและแนะนำให้มีอินเดียอยู่ในพอร์ตในสัดส่วนไม่เกิน 10-20%”

นับว่าน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงการลงทุน