ธุรกิจเป็นต่อ เมื่อเป็น “นาย” เทคโนโลยี

คอลัมน์ Smart SME

โดย ดร.รุจิกร ภาวสุทธิไพศิฐ ทีเอ็มบี

เมื่อไม่นานมานี้ ข่าวการเสียชีวิตของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกอย่าง Stephen Hawhking ทำให้หวนนึกถึงสิ่งที่อัจฉริยะท่านนี้เคยคาดการณ์ไว้ว่าในอนาคต ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (artificial intelligence) จะเข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตของคนเรามากขึ้น ที่สำคัญ มันจะเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้เฉลียวฉลาด จนอาจไม่จำเป็นต้องพึ่งพามนุษย์ผู้ประดิษฐ์คิดค้นมันขึ้นมาอีกต่อไป

ทุกวันนี้เราจะเห็นว่ามีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ และได้รับการยอมรับในหลากหลายอุตสาหกรรมที่เห็นได้ชัดก็เช่น อุตสาหกรรมการแพทย์ อุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมขนส่งและกระจายสินค้า การเงินการธนาคาร ฯลฯ ซึ่งความฉลาดของ AI ได้สร้างจุดเปลี่ยนให้กับอุตสาหกรรมเหล่านี้ได้อย่างมากเลยทีเดียว

อย่างฟากฝั่งของโลกการเงินการธนาคารเอง เริ่มมีการใช้หุ่นยนต์เข้ามาเป็นผู้ดูแลกองทุนเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ให้กับผู้ลงทุน ด้วยจุดแข็งคือความสามารถในการวิเคราะห์และสกัดข้อมูลที่มีอยู่อย่างมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว เพื่อนำมาช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุนได้อย่างเหนือชั้น ซึ่งยังคงถือเป็นข้อจำกัดของมนุษย์เรา

Advertisment

ในขณะเดียวกันก็มีการใช้ AI เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนทำการตลาดและพลิกโฉมหน้าโลกแห่งการค้าขาย เห็นไหมว่า AI ใกล้ตัวเอสเอ็มอีเข้าไปทุกขณะ ทุกวันนี้หลายองค์กรลงทุนไปกับการพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อให้มาเป็นเพื่อนคู่คิด ผู้ช่วย ที่สามารถตอบสนองความต้องการของมนุษย์ได้โดยอัตโนมัติ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น อีคอมเมิร์ซระดับโลกอย่าง Amazon ที่เริ่มพัฒนาซอฟต์แวร์ AI ที่สามารถวิเคราะห์คอมเมนต์แท้ และรีวิวปลอมต่าง ๆ ได้ ก่อนจะนำมาใช้คัดกรองสแปมและรีวิวเทียมที่คอยก่อกวนข้อมูลอันเป็นประโยชน์ เพื่อเข้าถึงความต้องการหรือความคิดเห็นที่แท้จริงของผู้บริโภค ทั้งยังมี Amazon lex เป็น chatbot ที่ไม่เพียงแค่พูดคุยตอบคำถามลูกค้าแบบอัตโนมัติ แต่ยังสามารถช่วยเหลือลูกค้า เช่น หาสินค้าที่ลูกค้าต้องการหรือใกล้เคียงให้กับลูกค้าได้ เมื่อลูกค้าเกิดความประทับใจในประสบการณ์ที่ได้รับ ยอดขายก็ไม่หนีไปไหนเสีย

ถึงวันนี้เทคโนโลยี AI ยังคงถูกพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ล่าสุดบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon, Google, Facebook, IBM และ Microsoft แม้จะเป็นคู่แข่งกันทางธุรกิจ แต่ก็หันมาจับมือกันเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยี AI ด้วยหวังจะสร้างมาตรฐานกลางบางอย่างร่วมกัน เพื่อประโยชน์ด้านการค้าขายในอนาคต ผลประโยชน์น่าจะตกมาถึงผู้ประกอบการโดยทั่วไปด้วย เอสเอ็มอีจึงจำเป็นต้องศึกษา ทำความเข้าใจ และหาทางประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับธุรกิจของตน

ทั้งนี้ เอสเอ็มอีสามารถใช้ AI ให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจได้ โดยไม่ต้องลงทุนพัฒนาระบบเอง แต่ใช้ระบบที่บริษัท บิ๊กเนม พัฒนาขึ้นมาในการต่อยอดธุรกิจ เช่น ระบบ machine learning algorithm ของ Google ที่นำเทคโนโลยี AI มาช่วยทำให้ผลการค้นหาข้อมูลของผู้ใช้แต่ละรายมีความแม่นยำมากขึ้น และช่วยลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นลง ควบคู่ไปกับการพัฒนาตนเองให้มีตัวตนบนโลกออนไลน์ การระบุคำค้นหาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อการทำ SEO ที่ได้ผลที่ดียิ่งขึ้น และอยู่ในที่ที่ลูกค้าสามารถค้นหาเจอได้ง่าย ๆ หรือเจอเป็นอันดับต้น ๆ ถือเป็นสิ่งที่เอสเอ็มอีควรทำในเวลานี้จะเห็นได้ว่าเราหลีกเลี่ยงที่จะทำธุรกิจโดยปราศจากเทคโนโลยีไปไม่พ้นแล้ว ดังนั้นก็ต้องใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เช่น ทดลองใช้การตลาดออนไลน์ทางเลือกใหม่ ๆ เพื่อช่วยเพิ่มยอดขายและดึงดูดความสนใจของลูกค้า รวมทั้งเปิดใจกับเครื่องมือต่าง ๆ ที่จะช่วยให้การทำธุรกิจง่าย รวดเร็ว ประหยัดเวลา และลดต้นทุนต่าง ๆ ได้อย่างไม่คาดคิด

Advertisment

สำหรับประเด็นเรื่องอนาคตที่หวั่นว่าเทคโนโลยีจะยึดครองโลก มนุษย์จะตกเป็นทาสของเทคโนโลยีหรือไม่นั้น โปรดอย่าได้คิดไปไกลกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า สิ่งสำคัญอยู่ที่วันนี้เราต้องใช้เทคโนโลยีให้เป็น และเลือกที่จะเป็น “นาย” ของเทคโนโลยีมากกว่า บนโลกใบนี้ยังคงมีอะไรอีกมากมายที่ไม่สามารถวิเคราะห์และพยากรณ์ได้ บางกรณีต้องใช้ “สัญชาตญาณ” ประกอบการตัดสินใจ ซึ่งนั่นเป็นคุณสมบัติเด่นที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทุกคน เทคโนโลยีเป็นเพียงแค่เครื่องมือที่ช่วยลดความเสี่ยง แต่การไขว่คว้าโอกาสนั้นขึ้นอยู่ที่ตัวเรา

เหนืออื่นใดคือ เป็นมนุษย์อย่าหยุดคิด อย่าหยุดจินตนาการและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เพราะสิ่งนี้เองที่ทำให้เราพิเศษ และแตกต่างจากหุ่นยนต์หรือเทคโนโลยีที่ไร้ชีวิต