ปี 2562 ทองให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นสุดนับตั้งแต่ปี 2550

คอลัมน์ สถานีลงทุน
โดย ธนรัชต์ พสวงศ์ ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส

ราคาทองคำตลาดโลกในปี 2562 ปรับตัวขึ้นนับว่าเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 6 ปี และขึ้นไประดับสูงสุดของปีที่บริเวณ 1,556 ดอลลาร์/ออนซ์ ถ้าคำนวณจากจุดสูงสุดราคาทองเพิ่มขึ้นถึง 21% ซึ่งเพิ่มขึ้นมากที่สุด นับตั้งแต่ปี 2550 ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2551

ราคาทองคำที่ปรับขึ้นโดดเด่นในปีนี้ ได้รับปัจจัยหนุนจาก 1) สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งปีนี้นับว่าเป็นปีของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนตลอดทั้งปี และเป็นปัจจัยสำคัญทีเดียวที่เป็นทั้งแรงหนุนและแรงกดดันตลาดทองคำให้มีความผันผวนมากทีเดียว

2) ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอย เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve หลายครั้ง หรืออัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐ

สูงกว่าดอกเบี้ยระยะยาว ซึ่งมองว่าเป็นสัญญาณเตือนของเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มถดถอย โดยปกติอัตราดอกเบี้ยระยะยาวจะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 3) การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด 4) ความกังวลกรณีที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปแบบไร้ข้อตกลง 5) สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง

แนวโน้มราคาทองคำในปี 2563

แนวโน้มราคาทองคำในปี 2563 จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,400-1,600 ดอลลาร์ และนับว่าปี 2563 เป็นปีทองของราคาทองคำเช่นกัน และคาดว่าราคาทองคำแท่งในประเทศปี 2563 จะเคลื่อนไหวในกรอบ 20,400-22,700 บาท ซึ่งมีปัจจัยที่จะกระทบต่อราคาทองคำในปี 2563 ดังนี้

สงครามการค้าโลก

ปี 2562 สามารถเห็นได้ชัดว่าเป็นปีแห่งสงครามการค้า โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนได้สร้างความกังวลในตลาดการเงินอย่างมาก และได้กระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของโลก ทำให้ IMF ตัดสินใจปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2562 ลงเหลือ 3.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกในปี 2551-2552 จากเดิมที่ระดับ 3.2% และยังได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2563 ลงสู่ระดับ 3.4% จากเดิมที่ระดับ 3.5%

อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและคู่ค้ายังคงมีการลากยาวต่อไปจนถึงปี 2563 ที่ยังส่งผลต่อความผันผวนของราคาทองคำในปีหน้าเช่นกัน แต่ปัจจัยดังกล่าวนั้นอาจจะแผ่วลงไปบ้าง ซึ่งคาดว่าอาจจะมีปัจจัยหลักที่เข้ามาส่งผลต่อความผันผวนของราคาทองคำมากกว่านั่นคือ ความเข้มข้นที่จะมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2563 นั่นเอง

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

แม้ว่าที่ผ่านมาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะพยายามขจัดคู่แข่งคนสำคัญ มีกระแสข่าวว่าทรัมป์ใช้อำนาจโดยมิชอบบีบนายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนให้เปิดการสอบสวนกรณีการทุจริตของโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐสมัยบารัก โอบามา จนนำไปสู่กระบวนการยื่นถอดถอนประธานาธิบดีสหรัฐ แม้ว่ากระบวนการจะอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น และพรรคเดโมแครตรู้ดีแก่ใจว่าการถอดถอนทรัมป์เป็นไปได้ยาก

เนื่องจากแม้สภาล่างอาจโหวตรับรองให้ยื่นญัตติถอดถอนทรัมป์ แต่การถอดถอนก็ไม่น่าจะผ่านความเห็นชอบในวุฒิสภา ซึ่งมี ส.ว.พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก และในอดีตที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐคนใดที่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งได้สำเร็จมาก่อน แต่การกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการสร้างสีสันในการเมืองสหรัฐก่อนการเลือกตั้งปีหน้า ซึ่งดีกว่าที่ไม่ทำอะไรเลย และให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เล่นงานแต่เพียงฝ่ายเดียว นอกจากนี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อคะแนนเสียงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็เป็นไปได้เช่นกัน

นโยบายการเงินของเฟด

ปี 2563 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะไม่มีการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่เฟดได้ลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ซึ่งประเด็นการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำในปีนี้พอสมควร ทำให้ในปี 2563 ทองคำอาจขาดปัจจัยบวกในเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด แต่ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนว่าจะตึงเครียดมากขึ้น หรือจะสามารถเจรจากันได้ ทั้งนี้ ตลาดคาดว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปี 2563

Brexit จุดยืนที่ชัดเจน

แม้ว่าการแยกตัวของอังกฤษออกจาก EU จะขยายเส้นตายเป็นวันที่ 31 ม.ค. 2563 และได้เข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 12 ธ.ค. 2562 ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามนายกรัฐมนตรีอังกฤษว่าจะสามารถผลักดันข้อตกลงการแยกอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาอังกฤษได้ภายในวันที่ 31 ม.ค. 2563 หรือไม่ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความผันผวนต่อราคาทองคำแน่นอน