เติมกระสุน ธ.ก.ส. อัพสเกลปล่อยกู้ เพิ่มเขี้ยวเล็บ “สมคิด” เจาะฐานราก

“จากนี้ไป ธ.ก.ส.จะต้องเป็นหัวปลั๊ก หรือหัวขบวนในการพัฒนาเกษตรกร ที่จะให้หน่วยงานอื่น ๆ เข้ามาเสียบปลั๊ก สานการพัฒนาต่อเนื่อง” นี่เป็นคำกล่าวของ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ในการลงพื้นที่จังหวัดพัทลุง นครศรีธรรมราช และตรัง เพื่อติดตามความคืบหน้า “ประชารัฐสร้างไทย พัฒนาปักษ์ใต้ ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน” เมื่อเร็ว ๆ นี้

ทั้งนี้ ทราบกันดีว่า 3 จังหวัดดังกล่าวเป็นฐานที่มั่นของพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงพรรคภูมิใจไทยที่เพิ่งชิงบางพื้นที่มาได้ โดย “สมคิด” ลงพื้นที่ พร้อมทีมรัฐมนตรี ที่ล้วนเป็นแกนนำสำคัญจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้แก่ “อุตตม สาวนายน” รมว.คลัง หัวหน้าพรรค “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รมว.พลังงาน และเลขาธิการพรรค และ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรและสหกรณ์ ผู้มากบารมีในพรรค รวมถึงผู้บริหารธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กับกระทรวงการคลัง

ทั้งนี้ “สมคิด” ได้มอบนโยบาย ธ.ก.ส.ว่า ต้องเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง สนับสนุนทางการท่องเที่ยว เพื่อเสริมสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร ไม่ใช่ทำแค่หน้าที่ปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะขณะนี้เศรษฐกิจไม่ดี ยางพาราก็ขายไม่ดี ซึ่งหากมีแต่ “การประกันราคาพืชผล” คงไม่เพียงพอ เนื่องจากประชาชนยังอยู่อย่างยากจน ซึ่งวิธีการแก้จน ก็ต้องปลูกพืชหลายอย่าง

“เป็นหน้าที่ของ ธ.ก.ส.ที่จะดูแล อย่างการจัดให้มีตลาดสินค้าโอท็อป และมีการจัดการชุมชนให้เข้มแข็ง”

ย้อนไปก่อนหน้านั้นราว 2 สัปดาห์ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งเห็นชอบ ขยายทุนเรือนหุ้นให้ ธ.ก.ส. อีก 20,000 ล้านบาท โดยจะใช้เงินจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ทยอยเพิ่มทุนต่อเนื่อง 5 ปี ตั้งแต่ปีบัญชี 2563 จำนวน 6,000 ล้านบาท จากนั้นช่วงปีบัญชี 2564-2567 อีกปีละ 3,500 ล้านบาท ซึ่งเมื่อได้รับเงินครบ 20,000 ล้านบาทแล้ว จะทำให้ ธ.ก.ส.ปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้น 240,000 ล้านบาท

โดย “อุตตม” ระบุว่า ธ.ก.ส.จะมีบทบาทมากในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก หลังจาก ครม.อนุมัติเพิ่มทุนให้อีก 20,000 ล้านบาท ทำให้แบงก์มีเงินทุนเพียงพอรองรับภารกิจการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก แก้ปัญหาความยากจน และช่วยเหลือเกษตรกรตามนโยบายของรัฐบาลซึ่งหากเข้าไปดูแผนด้านการเงินของ ธ.ก.ส. จะพบว่า คณะกรรมการธนาคาร (บอร์ด) ที่มี “อุตตม” เป็นประธาน ต้องการให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น “เท่าตัว” จาก 52,000 ล้านบาท ในปีบัญชี 2562 เป็น 101,000 ล้านบาท ในปีบัญชี 2563 (ดูกราฟิก)

“อภิรมย์ สุขประเสริฐ” ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ธนาคารได้รับนโยบายมาขับเคลื่อนโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทย เพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจฐานรากที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนในชุมชน ได้แก่ การผลิต การซื้อ-ขายผลผลิต และการบริโภคของคนในชุมชนอย่างมีส่วนร่วม

“ที่ผ่านมา ธ.ก.ส.ได้ขับเคลื่อนธุรกิจชุมชนไปแล้วกว่า 502 ชุมชนทั่วประเทศ โดยในส่วนของพื้นที่ภาคใต้ มีธุรกิจชุมชนแล้ว จำนวน 27 ชุมชน”

ส่วนแผนงานปี 2563 นี้ ธนาคารมีแผนจะพัฒนาชุมชนอีก 1,273 ชุมชน โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนา 4 กลุ่มหลัก คือ 1.สร้างผู้นำสมาร์ทฟาร์เมอร์ 100,000 ราย ส่วนนี้คาดว่าจะใช้เงินราว 800 ล้านบาท 2.พัฒนาสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน 1,000 ชุมชน (พักหนี้) ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติงบประมาณไว้แล้ว ชุมชนละ 200,000 บาท

3.พัฒนาวิสาหกิจชุมชนกว่า 10,000 ชุมชน 4.พัฒนาเอสเอ็มอีเกษตร ให้อยู่รอดและเติบโต เพื่อเป็นหัวขบวนในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล 10,000 ราย และ 5.พัฒนาและยกระดับสหกรณ์การเกษตรทั่วประเทศ 100 แห่งให้เติบโต

เมื่อมองไปข้างหน้า รัฐบาลกำลังจะมีการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ ในปีนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน พักหนี้ รวมถึงต้องเร่งขับเคลื่อนนโยบายอื่น ๆ ที่ได้หาเสียงไว้

ดังนั้น การเพิ่มทุน ธ.ก.ส. จึงเป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับธนาคาร เพื่อที่ “กุนซือเศรษฐกิจ” จะได้ใช้เป็น “แขน-ขา” ผลักดันนโยบายพรรค พปชร.ให้ทะลุทะลวงในระดับฐานรากต่อไป