MTC ชี้โควิด-19 ไม่กระทบบริษัทฯ คงเป้าสินเชื่อโต 20-25% คุมหนี้เสียไม่เกิน 2%

ชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC)

“MTC” คงเป้าสินเชื่อปี’63 เติบโต 20-25% มั่นใจคุมหนี้เสียได้ไม่เกิน 2% ชี้สถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสไม่กระทบผลดำเนินงาน-สภาพคล่อง ยอมรับกังวลปัญหาราคาหุ้นร่วงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน เตรียมหารือบอร์ดเร็วๆ นี้

​นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) เปิดเผยว่า กรณีที่มีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน และตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของบริษัทฯ ให้ปรับตัวสูงขึ้นนั้น ประเด็นดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ MTC โดยยังคงมั่นใจว่าผลการดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปี กล่าวคือ ในปี 2563 สินเชื่อจะมีการเติบโต 20-25% และสามารถคุมหนี้ NPL ไม่ให้เกิน 2%

​“ในปี 2563 ขณะนี้ผ่านมาได้ 2 เดือน และผมเห็นผลการดำเนินงานทั้งเรื่องยอดปล่อย ยอดเก็บหนี้ และยอดหนี้เสีย ทุกอย่างเป็นไปในแผนงานทุกประการ ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล โดยเฉพาะหนี้เสีย ถึงแม้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะให้เราช่วยเหลือลูกค้าในการรีไฟแนนซ์ให้ลูกค้าได้ แต่ถ้าเป็นลูกค้าที่มีประวัติค้างชำระเกิน 3 เดือน ทางบริษัทฯก็ยังคงตั้งสำรองหนี้เสียไว้ครบ 100% ตามเกณฑ์มาตรฐานบัญชีทุกประการ โดยไม่มีข้อยกเว้น สำหรับเรื่องอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคล (P-Loan) จากการพูดคุยกับทาง ธปท. ก็ยังไม่มีนโยบายที่จะลดดอกเบี้ยลงจาก 28% แต่ประการใด” นายชูชาติกล่าว

เมื่อสอบถามถึงมีกระแสข่าวว่า บริษัทฯ อาจขาดสภาพคล่องทางการเงินโดยเฉพาะการชำระหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดภายในปีนี้ นายชูชาติ กล่าวว่า หุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระที่เหลือในปีนี้ จำนวน 6,200 ล้านบาท นั้น จะทยอยครบกำหนดเป็นรายไตรมาส ซึ่งบริษัทฯ มีสภาพคล่องจำนวนมาก เนื่องจากได้รับวงเงินตั๋ว P/N และ B/E รวมทั้งเงินกู้จากธนาคาร 11,000 ล้านบาท ให้สำรองเบิกใช้ได้เมื่อมีความจำเป็น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังสามารถออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อขยายธุรกิจในอนาคตได้อีก

​ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Raito) ของบริษัทฯ มีระดับค่อนข้างต่ำมากที่ 2.8 เท่า มีศักยภาพสามารถที่จะขอรับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินได้เพิ่มถึง 4.5 เท่า เพื่อรองรับการขยายสาขาในการปล่อยสินเชื่อ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ อันดับเครดิต (Credit Rating) ที่บริษัทฯ ได้รับปัจจุบันคือ “BBB+“ ซึ่งได้รับมาเมื่อเดือน เม.ย.ปีที่แล้ว หากยังคงการเติบโตและเป็นผู้นำการตลาดได้ บริษัทฯ มีโอกาสที่จะถูกปรับ Rating ให้สูงขึ้นเป็น A- ภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

Advertisment

​อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ามีความกังวลต่อราคาหุ้น MTC ที่ปรับตัวลดลงมากจนกระทั่งต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะเป็น ทั้งนี้ จากการศึกษาในเบื้องต้นพบว่ามีหลายแนวทางที่จะสามารถนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ แต่จะต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุมและเลือกวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง