สัปดาห์หน้า โบรกฯ เตือนลงทุนหุ้นไทยระวัง ยังไม่พ้นขีดอันตราย

หุ้นเด่น
ภาพโดย Gerd Altmann จาก Pixabay

บล.ฟิลลิปฯ เผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า เตือนลงทุนหุ้นไทยอย่างระมัดระวัง ยังไม่พ้นขีดอันตราย หลังยอดผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าทั่วโลกกลับมาสูงเหนือ 500,000 รายต่อวัน-ส่วน”ไทย” ทาง ศบค.คาดกลางเดือน ส.ค.64 มีโอกาสแตะ 32,000 ราย อาจต้องใช้มาตรการ Lockdown แบบอู่ฮั่นโมเดล จับตาประชุม FOMC แนะหุ้นเด่น “JWD-EKH”

วันที่ 25 กรกฎาคม 2564 ข้อมูลบริษัทหลักทรัพย์(บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า (27-30 ก.ค.64) ว่า การระบาดของไวรัส COVID-19 สายพันธุ์เดลต้าทั่วโลกมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นตามลำดับ แม้ในหลายประเทศที่เคยคุมการระบาดได้แล้ว

อาทิ สหรัฐ, อังกฤษ, อิสราเอล จำนวนผู้ติดเชื้อก็กลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง สวนฝั่งเอเชียการระบาดยังวิกฤต นำโดย อินโดนีเซีย, อินเดีย, ไทย, มาเลเซีย, เวียดนาม ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อทั่วโลกกลับมาสูงเหนือ 500,000 รายต่อวันอีกครั้ง และหากการกระจายวัคซีนล่าช้าหรือไวรัสกลายพันธุ์เพิ่มเติม อาจกลายเป็นการระบาดระลอกที่ 5 ที่จะกดดันเศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลังให้เติบโตลดลงได้

ส่วนการระบาดในไทยแม้รัฐบาลจะประกาศใช้มาตรการ Lockdown ขั้นสูงสุด แต่จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันและผู้เสียชีวิตยังคงสูง ภาพรวมยังคงมีความเสี่ยง โดย ศบค.คาดการณ์ว่าหากไม่สามารถคุมการระบาดได้ กลางเดือน ส.ค.64 ผู้ติดเชื้อรายวันของไทยมีโอกาสแตะ 32,000 ราย และรัฐบาลอาจต้องใช้มาตรการ Lockdown แบบอู่ฮั่นโมเดล

ทั้งนี้ต้องติดตามการประชม FOMC ครั้งที่ 5 ของปี 64 ทางฝ่ายวิจัยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและวงเงินการซื้อพันธบัตรผ่านมาตรการ QE ไว้ดังเดิม และคาดว่ามุมมองต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของสหรัฐยังคงไม่เปลี่ยนแปลง รอติดตามการประชมประจำปีที่ Jackson Hole ช่วงเดือน ส.ค.64 ที่อาจมีการส่งสัญญาณทำ QE Tapering ออกมา รามถึงนโยบายทางการเงินในอนาคตของ Fed หลังวิกฤต COVID-19

และติดตามประกาศ GDP ไตรมาส 2/64 ของสหรัฐที่คาดจะขยายตัว 8% และตัวเลข Core PCE Price Index ที่สะท้อนถึงเงินเฟ้อน่าจะยังเร่งตัวขึ้นต่อได้ แต่ต้องระวัง Spread Bond Yield อายุ 2 ปีและ 10 ปี ที่แคบลง อาจเกิด Bearish Flattening เป็นสัญญาณการเริ่มชะลอตัวลงของเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง

ทำใหดัชนี SET Index จะยังคงผันผวนอิงทางลงเป็นหลักในกรอบ 1,525-1,585 จุด ท่ามกลางปัจจัยลบภายในประเทศ กลยุทธ์การลงทุนเลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ได้แก่ หุ้นรับเงินบาทอ่อนค่า, มาตรการ WFH, โควิด-19, งบไตรมาส 2 ออกมาดี

“ดังนั้นนักลงทุนควรลงทุนอย่างระมัดระวัง เพราะยังไม่พ้นขีดอันตราย”

Top Pick หุ้นเด่น แนะนำ : JWD คาดกำไรไตรมาส 2/64 เติบโตต่อเนื่องทั้งไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อน และได้ประโยชน์จากการ M&A กับ VNS ในเดือน เม.ย.64 และรับประโยชน์จากปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน ทำให้ส่วนเช่าคลังสินค้ามีการรับฝากนานขึ้นกว่าเดิม

EKH : คาดกำไรไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 48 ล้านบาท โดยรับประโยชน์จากการตรวจและรักษาโควิดที่มากขึ้น และไตรมาส 3/64 คาดว่ากำไรจะทำนิวไฮ