พิษสงคราม! ต่างชาติแห่ขายทิ้งบอนด์ไทยดันยีลด์พุ่ง

เงินบาท สงคราม รัสเซีย ยูเครน

“ttb analytics” เผยต่างชาติแห่ขายทิ้งพันธบัตรไทย ดันบอนด์ยีลด์พุ่งแรง “สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย” ชี้เอฟเฟ็กต์ “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” ยืดเยื้อ-“เฟดขึ้นดอกเบี้ย” ต่างชาติขายบอนด์ไทยแล้วกว่า 1.2 แสนล้านบาท ฟาก “กรุงไทย” ฟันธงฟันด์โฟลว์ปีนี้เป็นบวกราว 3 แสนล้านบาท ต่างชาติรอจังหวะสงครามคลี่คลาย-เศรษฐกิจฟื้น กลับเข้าซื้อ “หุ้น-บอนด์” ไทย

นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb analytics) เปิดเผยว่า ช่วงนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) ของไทยปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรง ทั้งบอนด์สั้นและบอนด์ยาว จากการเทขายของต่างชาติ โดยบอนด์สั้น รุ่นอายุ 2 ปี ปรับขึ้น 0.25% ต่อปี มาอยู่ที่ 0.95% รุ่นอายุ 5 ปี ปรับขึ้น 0.30% มาอยู่ที่ 1.7% และรุ่นอายุ 10 ปี ปรับขึ้น 0.25% มาอยู่ที่ 2.46%

นางสาวศิรินารถ อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า ตั้งแต่สงครามรัสเซียกับยูเครนเริ่มปะทุ เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 จนถึงวันที่ 28 มี.ค. 2565 ต่างชาติขายบอนด์ไทยไปแล้วกว่า 123,000 ล้านบาท เฉพาะเดือน มี.ค. มีเงินไหลออกจากตลาดบอนด์ไทยแล้วราว 100,000 ล้านบาท โดยเฉพาะช่วงนี้มีแรงกดดันจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกอบด้วย

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงิน ตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ช่วงนี้มีแรงเทขายบอนด์ระยะยาว แต่ไม่ได้รุนแรง โดยคาดว่าภายหลังจากการประชุมเฟด หรือหลังวันที่ 5 พ.ค. 2565 หากเฟดมีความชัดเจนและตลาดรับรู้ เชื่อว่าจะเห็นนักลงทุนกลับเข้ามาซื้อบอนด์ไทย เนื่องจากส่วนต่างผลตอบแทน บอนด์อายุ 2 และ 10 ปี อยู่ที่ 1.3% เทียบค่าเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 0.9% ถือว่าไม่เลวร้าย แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี จนถึงปลายปี

“ส่วนหนึ่งมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ที่จะทำให้นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาซื้อบอนด์ไทยอยู่” นายพูนกล่าว

นายพูนกล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 2 จะยังคงเห็นกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์โฟลว์) ไหลออกสุทธิอยู่ จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนของสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการดำเนินนโยบายของเฟด แต่เชื่อว่ากระแสเงินทุนไหลออกจะไม่รุนแรง และหลังจากนั้นในช่วงไตรมาส 3-4 ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวดี และเฟดมีภาพที่ชัดเจนขึ้น สงครามไม่รุนแรง จะเห็นฟันด์โฟลว์ไหลกลับเข้าตลาดหุ้นและบอนด์

“จากตรงนี้ถึงวันที่ 5 พ.ค. มีโอกาสที่ฟันด์โฟลว์จะไหลออกสุทธิ แต่ไม่รุนแรง ซึ่งเราไม่ได้มองว่าเฟดขึ้นดอกเบี้ย จะทำให้ฟันด์โฟลว์ไหลออกรุนแรง และหากดูสัดส่วนการถือครองบอนด์ของนักลงทุนต่างชาติมีค่อนข้างน้อยราว 20% ของยอดคงค้างทั้งหมด จากเดิมที่เคยถือเกือบ 30% จึงไม่น่าจะกระทบ” นายพูนกล่าว

ทั้งนี้ ประเมินภาพรวมทั้งปีนี้ คาดว่าจะยังคงเห็นฟันด์โฟลว์ไหลเข้าสุทธิได้ โดยในส่วนของตลาดหุ้นจะเห็นเม็ดเงินไหลเข้าประมาณ 1.5-2 แสนล้านบาท และตลาดบอนด์ไหลเข้าราว 1 แสนล้านบาท เป็นเม็ดเงินใกล้เคียงกับที่เคยไหลออกไปช่วงปี 2563-2564 ที่มีเงินทุนไหลออกไปราว 3.1 แสนล้านบาท ในช่วงที่มีการระบาดหนักของโควิด-19

“ฟันด์โฟลว์ในตลาดหุ้นปีนี้จะเห็นนักลงทุนต่างชาติซื้อขายสลับกัน จะไม่เทขายหนักเท่ากับช่วงต้นปี หรือช่วงที่มีสงคราม โดยจะเน้นทยอยซื้อไปเรื่อย ๆ หากภาพสถานการณ์สงครามดีขึ้น และเศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจน จะเห็นนักลงทุนกลับเข้ามาต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี หากภาพสงครามทวีความรุนแรง สมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) เข้าร่วมสงครามและมีการใช้อาวุธเคมีเกิดขึ้น จะเห็นแรงเทขายได้ แต่คงไม่หนัก เนื่องจากทิศทางค่าเงินบาทอ่อนค่าและหุ้นพลังงานช่วยพยุงไว้” นายพูนกล่าว