“มัลติแบรนด์บิวตี้” ฮอตข้ามปี ทุนใหม่ “ไทย-เกาหลี-ญี่ปุ่น” รุกหนัก

สมรภูมิ “ร้านมัลติแบรนด์ความงาม” ร้อนฉ่า ทุนไทย-เทศดาหน้าบุกตลาดไม่หยุด “@Cosme Store” ยกทัพแบรนด์ดังญี่ปุ่น ผุดสโตร์แรกในอาเซียน “LAFILLA Collective” เอาใจเคบิวตี้ขนไอเท็มเด็ด-หายากยั่วใจ ด้านผู้เล่นรายเก่าจัดทัพสู้ศึก “อีฟแอนด์บอย-บิวเทรียม-เฮ้สตรีทบิวตี้ช็อป” สปีดสาขาไม่หยุด ขนสินค้าใหม่เปิดตัว แถมอัดโปรฯแรงถี่ยิบ พร้อมบริการผ่อน 0% ก่อนเดินหน้าขยายฐานออนไลน์ รับกำลังซื้อทั่วทิศ

 

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ตลาดเครื่องสำอางในไทยมีมูลค่ากว่า 1.8 แสนล้านบาท มีการเติบโตเฉลี่ย 7.8-7.9% ต่อเนื่อง ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะชะลอตัวไปบ้างก็ตาม แรงซื้อที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้แบรนด์ใหม่ ๆ หลั่งไหลเข้ามาทำตลาดในไทยไม่หยุด รวมถึงโมเดลของร้านขายเครื่องสำอางอย่าง “มัลติแบรนด์สโตร์” ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะสามารถตอบความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี ทั้งในด้านของราคา และสินค้าที่หลากหลาย สามารถเลือกซื้อได้อย่างอิสระ

ความหอมหวนดังกล่าวจึงได้ดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาในตลาดนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งคนไทยและต่างชาติ โดยล่าสุดมีทุนใหญ่จากญี่ปุ่น อย่าง @Cosme Store (แอทคอสเม่ สโตร์) เข้ามาปักธงสาขาแรกที่ไอคอนสยาม เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งร้านดังกล่าวเป็นการร่วมทุนกันระหว่างบริษัท ไอสไตล์ อิงก์ กับบริษัท สยามพิวรรธน์ รีเทล โฮลดิ้ง ในกลุ่มสยามพิวรรธน์

นายฮาจิเมะ เอนโดะ รองประธานอาวุโส กิจการบริการด้านความงาม บริษัท ไอสไตล์ อิงก์ ระบุว่า แอทคอสเม่ สโตร์ มีทั้งหมด 25 สาขาในญี่ปุ่น และเป็นครั้งแรกที่เข้ามาขยายสาขาในไทย และภูมิภาคอาเซียน โดยจุดเด่นของร้านคือการมีสินค้าจำนวนมากที่ได้รับความนิยมจากญี่ปุ่น ในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย ไปจนถึงแบรนด์ในห้างสรรพสินค้า มีการจัดโซนให้ลูกค้าได้ทดลองสินค้า โซนสำหรับทำกิจกรรม โซนสำหรับเด็ก ตลอดจนโซนพักผ่อน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทุกรูปแบบ โดยหลังจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5 สาขา และตั้งเป้ารายได้ 300 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 2-3 ปี นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มทุนไทย-เกาหลีที่เข้ามาเปิดร้าน “ลาฟิลลา คอลเลคทีฟ” โดยยึดพื้นที่ทำเลทองอย่างสยามพารากอน ปักหมุดสาขาแรกรับแรงซื้อนักช็อปชาวไทยและต่างชาติด้วยเช่นกัน

นายอนุวัฒน์ ตั้งศิริเจริญ กรรมการผู้จัดการร้าน LAFILLA Collective ระบุว่า บริษัทได้เล็งเห็นถึงกระแสการเติบโตของสินค้าสุขภาพและความงามที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประสบการณ์จากการนำเข้าสินค้าต่างประเทศหลายสิบปี พบว่ามีสินค้าเกาหลีที่น่าสนใจ แต่ยังไม่ถูกนำเข้ามาทำตลาดอีกจำนวนมาก จึงต้องการเปิดร้านที่รวบรวมโปรดักต์ที่น่าสนใจเอาไว้ กว่า 500 รายการ โดยเน้นสินค้าเกาหลีเป็นหลัก เช่น แบรนด์ Avajar มาสก์ยกกระชับที่มีวงซูเปอร์จูเนียร์เป็นพรีเซ็นเตอร์ ลิปสติกแบรนด์ UZI, Merbliss, SHO, Entia เป็นต้น ตลอดจนแบรนด์ไทยที่กลุ่มนักท่องเที่ยวชื่นชอบ โดยปัจจุบันมีจำนวน 1 สาขา ที่ชั้น 3 สยามพารากอน

ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานเพิ่มเติมว่า การเข้ามาของรายใหม่ ๆ ยังส่งผลให้ตลาดแข่งขันกันดุเดือดมากขึ้น ทำให้แต่ละร้านต้องออกแรงทำตลาดเพื่อรักษาส่วนแบ่งและฐานลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการเร่งขยายช่องทางการเข้าถึงลูกค้าทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ การพาร์ตเนอร์กับแบรนด์ทำสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟอย่างต่อเนื่อง การสรรหาสินค้าใหม่ ๆ ที่เป็นกระแส และที่สำคัญการทำโปรโมชั่นที่จูงใจ เช่น ร้านเฮ้ สตรีท บิวตี้ ช็อป (HEJ Street Beauty Shop) จากกลุ่มทุนผลิตชิ้นส่วนพลาสติก และอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มบริษัท ทาพาโก้ จำกัด (มหาชน) หลังจากที่ได้แตกไลน์ธุรกิจมายังร้านมัลติแบรนด์ความงามดังกล่าวเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และเร่งขยายสาขาจนมีทั้งหมด 5 สาขาในปัจจุบัน ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด อาทิ บีทีเอสศาลาแดง, เซ็นทรัล พระราม 3, โรบินสันไลฟ์สไตล์ ชลบุรี, เซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ และเซ็นทรัลพลาซา นครราชสีมา นอกจากจะมีโปรโมชั่น ส่วนลดสูงสุด 80% เป็นระยะแล้ว ยังมีบริการผ่อน 0% เป็นเวลา 4 เดือน เมื่อช็อปครบ 5,000 บาท ตลอดจนเครดิตเงินคืนจากธนาคารที่ร่วมรายการ สูงสุด 17% เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในร้านจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้

ขณะที่ร้านบิวเทรียม จากกลุ่มทุนคนไทย หลังจากปีที่ผ่านมามีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นจนมีทั้งหมด 6 สาขาในปัจจุบัน อาทิ เซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์, ซีคอนบางแค, จี ทาวเวอร์, ซีคอนศรีนครินทร์, เอเชียทีค และเกตเวย์บางซื่อ บริษัทยังมีแผนใช้เงินลงทุนประมาณ 300-500 ล้านบาท ในการขยายสาขาให้ครบ 10 สาขา ภายในช่วง 3 ปีต่อจากนี้ พร้อมกับลงทุนด้านออนไลน์รองรับการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ และเสริมทัพหน้าร้าน ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ของบริษัท https://thebeautrium.com/ หรือออฟฟิศเชียลสโตร์ในมาร์เก็ตเพลซอย่าง ช้อปปี้ พร้อมกับการนำเสนอโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดนักช็อปอย่างต่อเนื่อง

ส่วนทางด้านของร้านอีฟแอนด์บอย กลุ่มทุนไทยที่ถือว่าเป็นรายใหญ่เบอร์ต้น ๆ ในตลาด ทั้งในแง่ของความนิยม จำนวนสาขาที่ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 12 สาขา และมีแผนที่จะเปิดอย่างต่อเนื่องอีกปีละ 2-3 สาขา ในรูปแบบสโตร์ขนาดใหญ่เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับสินค้าที่หลากหลายกว่า 1,000 แบรนด์ รวมกว่า 100,000 รายการ ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างครบครัน ยังคงเดินหน้ารักษาฐานลูกค้าเอาไว้อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะการดึงแบรนด์ใหญ่ หรืออินเตอร์แบรนด์ มาร่วมทำคอลเล็กชั่นพิเศษ และการเปิดช็อปอินช็อปภายในร้าน การได้สิทธิ์เปิดตัวคอลเล็กชั่นใหม่ก่อนร้านอื่น ๆ เอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์ ส่วนลด และโปรโมชั่นภายในร้านตลอด

 

 

ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลย พิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat

หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!