“กัญชา” น่านน้ำใหม่ JCK ลงทุนครบเครื่อง ต้นน้ำยันปลายน้ำ

ดร.อภิชัย เตชะอุบล
สัมภาษณ์

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่ากัญชา-กัญชงนับเป็นเมกะเทรนด์โลกที่มีแนวโน้มเติบโตสูง และเป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีศักยภาพสามารถเชื่อมโยงไปสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมอื่น ๆ ตลอดจนต่อยอดเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม การแพทย์ เครื่องสำอาง ฯลฯ นำไปสู่การก้าวขึ้นมาเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศไทย ส่งผลให้ภาคธุรกิจไทยเร่งแสวงหาโอกาสในน่านน้ำดังกล่าวที่ถูกคาดการณ์ว่าภายในปี 2567 จะมีมูลค่าสูงถึง 103.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “อภิชัย เตชะอุบล” ประธานกรรมการ บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JCK และบริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JCKH ผู้ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจร้านอาหาร อาทิ ฮอท พอต ไดโดมอน เจิ้งโต่ว ถึงแนวคิดการแตกไลน์ธุรกิจบุกตลาดกัญชาและกัญชงอย่างเต็มรูปแบบ

“อภิชัย” เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการฉายภาพรวมธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาโดยระบุว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สร้างผลกระทบใหญ่ให้แก่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือ ไม่ว่าจะเป็นการให้เช่านิคมอุตสาหกรรม แวร์เฮาส์ ไปจนถึงธุรกิจโรงแรมที่ล้วนต้องอาศัยทุนต่างชาติในการเข้ามาเช่าพื้นที่ต่าง ๆ

และเมื่อมีการสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วยการงดการเดินทางระหว่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ไม่สามารถมาดูพื้นที่ได้ หรือในส่วนภาคการท่องเที่ยวผ่านตัวโรงแรมที่โดยปกติจะมีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นคนจีนก็ได้หายไป จึงต้องปรับโมเดลธุรกิจมารับการทำฮอสพิเทล (hospitel) ร่วมกับโรงพยาบาลเอกชน เพื่อประคับประคองธุรกิจให้ไปต่อได้

กัญชา-กัญชง ธุรกิจน่านน้ำใหม่

“อภิชัย” ระบุว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทต้องเร่งมองหาธุรกิจใหม่ ๆ ที่ยังมีโอกาสเพื่อเข้าไปทำตลาด โดยจากการศึกษาพบว่าธุรกิจกัญชา-กัญชงเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีการขยายตัวได้ดีทั้งในไทยและต่างประเทศ สะท้อนจากมูลค่าตลาดรวมที่แม้ปัจจุบันจะอยู่ที่หลักหมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ แต่ในอีก 3 ปีข้างหน้าด้วยความนิยมและการนำสรรพคุณของพืชตระกูลนี้มาใช้ประโยชน์หลากหลายขึ้น คาดว่าจะทำให้มีเม็ดเงินสะพัดในตลาดทะลุหลักแสนล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ

พร้อมกันนี้คีย์แมนเจซีเคฯยังให้ข้อมูลด้วยว่า ปัจจุบันธุรกิจกัญชา-กัญชงมีการขยายตัวได้ดีเฉลี่ยถึงปีละ 33% เฉพาะการใช้รักษาบำบัดทางการแพทย์เติบโตสูงถึงปีละ 17% มูลค่าตลาดอยู่ราว 5-6 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ โดยมีประเทศที่เปิดกว้างการใช้กัญชา-กัญชงทั่วโลกแล้วกว่า 37 ประเทศ

“อภิชัย” ย้ำว่า ในแง่ความได้เปรียบประเทศไทยเป็นประเทศที่มีภูมิอากาศค่อนข้างร้อน เหมาะแก่การเพาะปลูกกัญชา-กัญชง ซึ่งในหนึ่งปีสามารถปลูกได้ถึง 3 ช่วง ขณะที่ต่างประเทศปลูกได้เพียงปีละ 2 ช่วง ประกอบกับกัญชา-กัญชงของไทยมีสาร CBD สูง จึงเชื่อว่าในอนาคตหากมีการปลดล็อกให้จำหน่ายวัตถุดิบไปต่างประเทศได้จะยิ่งสร้างการเติบโตของอุตสาหกรรมกัญชา-กัญชงในประเทศไทย (ขณะนี้การส่งออกยังเป็นในรูปแบบการแปรรูปสินค้าเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ)

จึงเป็นที่มาของเจซีเคฯในการปั้นบิ๊กโปรเจ็กต์ลุยกัญชา-กัญชงบนพื้นที่ 1,500 ไร่ ที่จังหวัดนครพนมที่เป็นการประมูลมาจากกรมธนารักษ์ในรูปแบบการเช่าพื้นที่ 50 ปี เสียค่าหน้าดินปีละกว่า 20 ล้านบาท ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพมาก นอกจากนี้ ยังเป็นทำเลที่ใกล้ สปป.ลาว และเชื่อมต่อไปยังจีนและเวียดนามได้ง่าย ที่สำคัญคือเป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษได้รับสิทธิประโยชน์ในเรื่องภาษีนำเข้า

เปิดแผนลุยต้นน้ำยันปลายน้ำ

พร้อมกันนี้ “อภิชัย” ยังเล่าถึงแผนการรุกเข้าไปในน่านน้ำใหม่นี้ว่า เบื้องต้นในเฟสแรกจะปลูกกัญชา-กัญชงในรูปแบบอินดอร์และเอาต์ดอร์จำนวน 200 ไร่ ภายใต้งบฯลงทุนขั้นต้นราว 40-50 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้เคลียร์พื้นที่เตรียมหน้าดินไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่เพียงใบขออนุญาตปลูก คาดว่าจะได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ก่อนที่ในเฟสถัด ๆ ไปจะเพิ่มปริมาณการปลูกพืชทั้ง 2 ชนิดมากขึ้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดอย่างเหมาะสม

ทั้งนี้ การลุยตลาดกัญชา-กัญชงครั้งนี้ เจซีเคฯวางโพซิชั่นทำตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ หรือกล่าวได้ว่าดำเนินงานทั้งในแง่การปลูก วิจัย สกัด แปรรูป และทำผลิตภัณฑ์ขึ้น โดยเน้นไปที่กัญชา-กัญชงเชิงการแพทย์ เช่น การผลิตยาต่าง ๆ เป็นต้น และในอุตสาหกรรมอาหาร อาทิ เครื่องดื่ม น้ำวิตามิน ไปจนถึงอุตสาหกรรมความงามอย่างเครื่องสำอาง โดยขณะนี้ได้ติดต่อบริษัทวิจัยในต่างประเทศที่มีโนว์ฮาวและความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกัญชา-กัญชงไว้แล้ว เพื่อรอประเทศเปิดจะได้ร่วมกันคิดค้นและวิจัยสินค้าต่าง ๆ

คีย์แมนเจซีเคฯกล่าวด้วยว่า เบื้องต้นการทำกัญชา-กัญชงในครั้งนี้จะเน้นไปที่ส่วนของต้นน้ำ ผ่านการปลูกและขายส่งมากที่สุด โดยได้มีการเจรจาหารือกับพันธมิตรโรงงานสกัดและแปรรูปต่าง ๆ ไว้บ้างแล้ว คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ใน ม.ค. 2565 ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเตรียมการสร้างโรงงานเพื่อสกัดและแปรรูปจะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในต้นปี 2565 เพื่อรองรับผู้ดำเนินธุรกิจกลางน้ำและปลายน้ำ ทั้งการรับจ้างผลิต (OEM) สินค้ากัญชา-กัญชง และการผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของตนเอง

โดยมอบหมายให้ JCKH บริษัทลูกผู้ดำเนินธุรกิจอาหารเป็นหลักให้เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้า ซึ่งอนาคตมีความเป็นไปได้ที่จะนำสินค้ากัญชา-กัญชงบางส่วนไปขายในร้านอาหารในเครือ เช่น ฮอท พอต ไดโดมอน เป็นต้น

สำหรับพื้นที่ที่เหลือจากการเพาะปลูกกัญชา-กัญชงจะนำมาทำแวร์เฮาส์และนิคมอุตสาหกรรมในรูปแบบการให้เช่า เพื่อรองรับการทำโลจิสติกส์ขนส่งสินค้า อาทิ ผลไม้ ผลไม้แปรรูป ส่งออกไปต่างประเทศทั้งลาว เวียดนาม และจีนที่เป็นตลาดใหญ่ของไทย

เตรียมเปิดเวลเนสคลินิกกัญชา

นอกจากนี้ “อภิชัย” ยังกล่าวถึงแผนงานในระยะถัดไปของเจซีเคฯว่า ในอนาคตได้เตรียมแผนต่อยอดกัญชา-กัญชงโดยมีแผนจะลงทุนทำเวลเนสคลินิกสำหรับการรักษาและบำบัดด้วยกัญชา-กัญชง โดยจะปักหมุดในย่านถนนรัชดาภิเษก ย่านซีบีดีใหม่ของกรุงเทพฯที่มีทราฟฟิกสูงบนพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร เพื่อจับกลุ่มคนเมืองและชาวต่างชาติที่ต้องการจะรักษาผ่านวิถีธรรมชาติ ขณะเดียวกัน ก็ยังเป็นการรองรับการท่องเที่ยวที่จะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาในอนาคตอีกด้วย

“เชื่อว่าปัจจัยการเปิดประเทศจะยิ่งส่งผลบวกต่อธุรกิจในหลายด้านของเจซีเคฯ ทั้งพอร์ตโดยเฉพาะด้านกำลังซื้อในประเทศจะกลับมาดีขึ้น คีย์สำคัญคือการสร้างเสถียรภาพเพื่อดึงคนให้มาลงทุนที่ไทยให้ได้ สำหรับภาคธุรกิจหัวใจความสำเร็จตอนนี้ต้องอดทนทำทุกทางเพื่อให้อยู่ให้ได้”