อนุสรณ์ อุณโณ : มาตรา 112 แนวปะทะ สกัดม็อบ “ราษฎร”

“อนุสรณ์ อุณโณ” อดีตคณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ มองว่า การบังคับใช้ มาตรา 112 อีกครั้ง ของผู้มีอำนาจ เป็นแนวปะทะของอำนาจรัฐ ขจัดคนเห็นต่าง ให้ถอยร่น

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2563 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย รศ.ดร.อนุสรณ์ อุณโณ อดีตคณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ถึงการชุมนุมเนื่องในวันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม ถึงสาเหตุการหยิบยกประเด็นยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

10 ธันวาคม เป็นวันรัฐธรรมนูญ แต่ทำไมถึงหยิบยกเรื่องประมวลกฎหมาอาญา มาตรา 112 ขึ้นมาพูดถึง

เนื่องจากมีการนำมาตรา 112 มาใช้ ซึ่งก่อนหน้านี้จะเห็นได้ว่า มีการว่างเว้นในการบังคับใช้มาตรา 112 ค่อนข้างจะนาน แต่เราจะเห็นว่า จู่ ๆ มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา และฟ้องในคราวเดียวกัน 17 คน บางคนอาจจะโดน 1 วาระ 2 วาระ หรือ 2 กระทง ฉะนั้นเมื่อเห็นว่า มาตรา 112 ซึ่งก่อนหน้านั้นมีปัญหาในตัวของมันเอง และถูกว่างเว้นในการใช้ และจู่ ๆ ถูกหยิบมาใช้ขึ้นมา เหมือนเป็นแนวปะทะอันใหม่ หรือ อันใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมกำหนดให้ประเด็นในการชุมนุมในครั้งนี้ แม้จะเป็นวันที่ 10 ธันวาคม ว่าด้วยรัฐธรรมนูญ แต่ว่า ประเด็นที่จะเป็นข้อฉกรรจ์ หรือ แนวปะทะเฉพาะหน้า หรือ เร่งด่วนกว่าเป็นเรื่องของมาตรา 112 ซึ่งมาตรา 112 เป็นเรื่องที่เราพูดขึ้นมานานแล้ว

ข้อเสนอการปฏิรูปสถาบัน พัฒนาการก้าวหน้าไปในทางที่ดีขึ้นหรือว่าถอยหลังลง

10 ข้อเสนอยังไม่ได้ถูกปรับอะไร ยังอยู่ทั้ง 10 ข้อ อาจจะมีกิจกรรมประกอบข้อเสนอ เช่น การยื่นจดหมายเมื่อวันที่ 19-20 กันยายน หรือ ล่าสุดเอาจดหมายไปใส่ตู้ไปรษณีย์ยื่นอีก อย่างไรก็ดี ข้อเสนอ 10 ข้อก็ยังคงไว้ แต่แนวทางที่จะทำให้ข้อเสนอ 10 ข้อ เป็นที่ล่วงรู้ เป็นที่รับรู้ หรือ ไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือ แม้กระทั่งพระเนตรพระกันต์ มีแนวทางที่พลิกแพลงแตกต่างออกไป แต่โดยเนื้อหาสาระ 10 ข้อก็ยังอยู่เหมือนเดิม

วันนี้ข้อเสนอปฏิรูปสถาบันดูเหมือนอ่อนลง กลายเป็นการล้อเลียนสถาบัน แทนที่จะวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีอารยะ

เป็นส่วนหนึ่งของคำถามที่ว่า ทำไมถึงต้องยกเลิกมาตรา 112 เพราะหลายข้อไม่เข้าข่ายหมิ่นประมาท หรือ อาฆาตมาดร้าย การล้อเลียนจริง ๆ แล้วบุคคลสาธารณะเกิดขึ้นได้โดยทั่วไป หรือ ในกฎหมายหมิ่นประมาทเองการล้อเลียนก็ไม่ถือเป็นความผิดด้วยซ้ำไป ฉะนั้นจึงไม่มีเหตุอะไรในแง่ของถ้าเราอยู่ภายใต้การปกครองที่ทุกคนเสมอหน้าและสถานะทุกคนเสมอกัน ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ การล้อเลียนเป็นเพียงประเด็นปลีกย่อย เป็นแค่องค์ประกอบในการทำให้การชุมนุมมีสีสัน เป็นลูกเล่น

Advertisment

แต่ในสาระจริง ๆ คือ ข้อเสนอ 10 ข้อ จะต้องมีการดำเนินการอย่างไรเพื่อที่สุดแล้วการจัดวางสถานะของสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญอันเป็นสากล และทำให้ประเทศเราสัมพันธ์กับนานาอารยะประเทศอย่างสง่างาม ภาคภูมิ เราไม่ได้เป็นประเทศเดียวในโลกนี้ที่ยังหลงเหลือชุดความสัมพันธ์ในลักษณะเช่นนี้อยู่ ซึ่งไม่สอดรับกับความเป็นประชาธิปไตยอันเป็นหลักสากล

วันนี้มีการพูดถึงให้ยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งก่อนนี้หน้านี้เป็นประเด็นสาธารณะ แต่ ณ วันนี้ แกนนำผู้ชุมนุมถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จะถูกมองว่าเป็นการยกระดับการเรียกร้องส่วนตัวหรือไม่

การรณรงค์ให้ยกเลิกมาตรา 112 เราทำมานานแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อปี 2554 เราตั้งคณะรณรงค์เพื่อการแก้ไขมาตรา 112 แต่ตอนนั้นเรารวบรวมรายชื่อมาได้ 2 หมื่นชื่อ ไปยื่นต่อรัฐสภา แต่สุดท้ายแล้ว กระบวนการรัฐสภาก็ปรับตกไปตั้งแต่ทีแรก ไม่มีใครใส่ใจ หลังจากนั้นก็เกิดวิกฤตการเมืองขึ้นมา และประเด็น 112 ก็หายไป หลังจากนั้นมีการเอามาตรา 112 มาบังคับใช้อย่างเข้มข้นอีกครั้งหนึ่งถึงรัฐประหารปี 2557 แต่พอถึงช่วงเวลาหนึ่งก็หยุดใช้ไป ด้วยการคลี่คลายหลาย ๆ อย่าง

พอกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง คงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในส่วนของแกนนำ แต่ไปขัดกับหลักการด้วย หลายข้อไม่เข้าข่ายองค์ประกอบความผิด แต่ถูกใช้คล้ายกับเป็นเครื่องมือทางกฎหมายในการขจัดฝ่ายที่เห็นต่างทางการเมือง จึงถูกตั้งคำถามว่า ที่สุดแล้วควรจะยกเลิกได้เสียที

เป็นจังหวะทางการเมืองที่ควรเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็น 1 ใน 10 ข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ด้วยซ้ำไป เป็นแพ็กเกจ แต่ตอนนี้มาตรา 112 ก็หยิบขึ้นมาพูดเยอะอีกครั้งหนึ่ง เพราะถ้าเป็นความผิดจริง ๆ และถ้าดำเนินไปด้วยหลักยุติธรรม เพื่อนิติรัฐ นิติธรรมจริง ๆ มันควรจะถูกหยิบมาใช้ในการฟ้องร้องดำเนินคดีบรรดาแกนนำตั้งแต่แรก ไม่ใช่เมื่อก่อนนั้นก็แค่มาตรา 116 มาตรา 113 ซึ่งไม่มีเหตุผลอะไรที่จู่ ๆ ก็มาฟ้องยกแผงอย่างนี้

Advertisment

มันแสดงให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในการบังคับใช้กฎหมาย ไม่มีเหตุผลที่จะชะลอการฟ้องร้องจนมาถึงเวลานี้ เพราะก่อนหน้านั้นในความผิดที่เขาทำก็ถูกฟ้องร้องเต็มไปหมดอยู่แล้ว ด้วยข้อหาอื่นด้วยซ้ำไป และตอนนั้นก็ไม่มีการพูดถึงการฟ้องร้องข้อหานี้เลย แล้วจู่ ๆ ขึ้นมาแบบนี้ จะให้คิดเห็นเป็นอื่นค่อนข้างยาก นอกเสียจากว่า ใช้เป็นเครื่องมือในการขจัดคนเห็นต่าง กลุ่มที่กระด้างกระเดื่องขึ้นมาให้ถอนตัวและถอยร่นไป จนการชุมนุมถดถอยไปในที่สุด