มุมคิด “แม่ทัพลอรีอัล” กล้าที่จะฝันใหญ่-สนใจนวัตกรรม

นับจากที่ “อินเนส คาลไดรา” เข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อเดือนกันยายน 2561 เธอประกาศภารกิจที่จะมุ่งพัฒนาความเป็นเลิศให้กับองค์กรทั้งหมด 4 ด้านด้วยกันคือ

หนึ่ง การมุ่งเน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง

สอง การขับเคลื่อนดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

สาม การพัฒนาและดูแลบุคลากร

สี่ การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม 

Advertisment

โดยภารกิจทั้ง 4 ด้านขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงของการดำเนินการ เพื่อให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ทุกประการ แต่กระนั้น เมื่อมาดูคำกล่าวของ “ปิแอร์ อีฟ อาร์เซล” รองประธานกรรมการลอรีอัล ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่ครั้งหนึ่งเคยพูดถึง “อินเนส คาลไดรา” เมื่อคราวที่เธอเข้ามารับตำแหน่งใหม่ ๆ ว่า…ผลงานของเธอในยุโรปได้พิสูจน์ถึงความสามารถเป็นอย่างดี

“โดยเฉพาะด้านการจัดการบุคลากร เพราะเธอดำเนินงานตามแนวทางจิตวิญญาณของลอรีอัลอย่างครบถ้วน ด้วยการเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง พร้อมช่วยสนับสนุนให้ทีมของเธอสามารถพัฒนาศักยภาพได้อย่างต่อเนื่อง เรามั่นใจว่าเธอจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับประเทศไทยอย่างราบรื่น และเดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์ต่าง ๆ จนประสบความสำเร็จ”

ทั้งนี้เพราะตลอดชีวิตการทำงานของ “อินเนส คาลไดรา” ที่ลอรีอัล กรุ๊ป เธอไม่เพียงเป็นผู้บริหารหญิงคนแรกอายุที่น้อยที่สุดในการดำรงตำแหน่งผู้จัดการประจำประเทศโปรตุเกส (บ้านเกิด) ก่อนจะย้ายไปเป็นผู้บริหารที่ลอรีอัล กรุ๊ป ประเทศฝรั่งเศส เพื่อดูแลฝ่ายพัฒนาการตลาดระหว่างประเทศ

จากนั้นเธอจึงย้ายกลับโปรตุเกสอีกครั้งเพื่อดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดภูมิภาคยุโรป

Advertisment

ก่อนจะมาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคในประเทศสเปน จนกระทั่งย้ายมาประจำการยังลอรีอัล (ประเทศไทย)

“อินเนส คาลไดรา” ยอมรับว่าตลาดในประเทศไทยใหญ่กว่าโปรตุเกสและสเปนมาก ทั้งยังมีความสลับซับซ้อน และมีช่องทางในการขายมากกว่าด้วย สำคัญไปกว่านั้นผลิตภัณฑ์เพื่อความงามของประเทศไทยมีหลายแบรนด์ ทั้งในส่วนของโลคอลแบรนด์และอินเตอร์แบรนด์

“เพียงแต่เราไม่ได้มองว่าตรงนี้เป็นอุปสรรค ตรงกันข้ามกลับมองเป็นโอกาสทางธุรกิจมากกว่า เพราะเชื่อว่าทุกแบรนด์ของลอรีอัลล้วนเป็นสินค้าคุณภาพ ตรงนี้จึงทำให้เราเชื่อมั่นว่าอีกไม่นานเราจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม แต่การจะไปถึงตรงนั้นได้ ต้องทำให้คนเติบโตก่อน ธุรกิจถึงจะเติบโตตาม และทำอย่างไรถึงจะให้พนักงานมีส่วนร่วม มีความกระตือรือร้น และทำงานอย่างมีความสุข”

“เพราะต้องยอมรับว่าตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อความงามมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็ว โดยเฉพาะช่วง 3 ปีผ่านมา เราจะเห็นเลยว่าตลาดอีคอมเมิร์ซ หรือโซเชียลคอมเมิร์ซมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ดังนั้น การที่เราจะขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ในเร็ว ๆ นี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการพัฒนาบุคลากร โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางด้านดิจิทัล”

“ด้วยเหตุนี้ ทิศทางของการพัฒนาบุคลากรจึงผสมผสานระหว่างการให้ความรู้ทางด้านดิจิทัล และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ความงามเพื่อเข้าไปสู่ตลาดออนไลน์มากขึ้น ซึ่งเราเรียกว่า beauty tech เพราะเห็นแล้วว่าช่องทางการขายแบบเดิม ๆ อาจไม่เพียงพอแล้ว เนื่องจากมีช่องทางใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น เราจะต้องมองโอกาสตรงนี้ให้ออก เพราะจากเดิมทีมดิจิทัลของเราในปี 2015 มีพนักงานเพียง 5 คนเท่านั้นเอง แต่ปัจจุบันเรามีทีมดิจิทัลมากกว่า 50 คน”

“อินเนส คาลไดรา” บอกว่าในปี 2018 ผ่านมาเราทำการอบรม และพัฒนาทีมดิจิทัลไปแล้วกว่า 5,000 ชั่วโมง และทีมดิจิทัลทุกคนจะนำองค์ความรู้ในเรื่องของ beauty tech ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence-AI) หรือความเป็นจริงเสมือน (augmented reality-AR) ไปแบ่งปันความรู้ให้กับทุก ๆ กลุ่มธุรกิจของเราด้วย โดยเฉพาะเรื่องของการเรียนรู้ความสำเร็จร่วมกัน การปรับปรุงร่วมกัน เพื่อให้พนักงานทุกกลุ่มธุรกิจก้าวทันต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

“เพราะ beauty tech แสดงผลเสมือนจริงให้ผู้บริโภคเห็นทันทีว่าหากใช้ผลิตภัณฑ์ของลอรีอัลชนิดต่าง ๆ ผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร เพราะเราเชื่อว่าการมีผลิตภัณฑ์ที่ดี และมีเทคโนโลยีที่ดีจะทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงเรื่องของความงามได้ดียิ่งขึ้น เพราะอย่าลืมว่าผู้บริโภคในปัจจุบันเขาใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีเหมือนกัน เขาอยากรู้อะไรก็เสิร์ชหาข้อมูล เราต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด เพื่อที่เขาจะได้รับความสะดวกสบาย และตัดสินใจง่าย เพื่อมาซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา”

“ฉะนั้น ต่อไปในอนาคตพนักงานในกลุ่มดิจิทัลจะเปิดรับเพิ่มมากขึ้น แต่จะต้องอยู่บนหลักการทำงานของลอรีอัล กรุ๊ปที่จะต้องมีความหลากหลายในแง่ของโปรไฟล์ เพศ เพราะปัจจุบันเรามีพนักงานประจำประมาณ 600 คน และพนักงานตามสัญญาจ้างอีก 1,300 กว่าคน”

ผลเช่นนี้ เมื่อถามว่าคนที่ “ใช่” ของลอรีอัลเป็นอย่างไร “อินเนส คาลไดรา” จึงบอกว่า…เรามองว่าทุกคนมีความแตกต่าง เราจึงต้องยอมรับ และเคารพในเรื่องของความแตกต่าง และความหลากหลายด้วย

“ดังนั้น อย่างแรกเลยคือต้องมีความเป็นเจ้าของกิจการ พูดง่าย ๆ คือต้องทำงานให้เหมือนกับลอรีอัลเป็นกิจการของเราเอง อย่างที่สองคือจะต้องเป็นคนรักในเรื่องของนวัตกรรม เพราะผลิตภัณฑ์ของลอรีอัลขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ฉะนั้น พนักงานของเราจึงต้องกล้าตัดสินใจ และต้องทำงานเป็นทีม เพราะลอรีอัลเป็นเครือข่าย การที่เราจะประสบความสำเร็จได้จะต้องทำงานเป็นทีม”

“ซึ่งเหมือนกับดิฉันเอง แม้จะทำงานมาหลายประเทศ แต่เมื่อมาอยู่ประเทศไทย เราต้องพยายามเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับพนักงานคนไทยด้วยกัน ซึ่งเราอาจโชคดีที่พนักงานลอรีอัล ประเทศไทยเป็นคนมีน้ำใจ มีความคิดสร้างสรรค์ ทั้งยังเป็นคนเปิดใจ และยอมรับในความเปลี่ยนแปลงเพื่อเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ แต่ถ้าถามว่าตลอด 6 เดือนที่อยู่ที่นี่เพียงพอหรือยัง ก็ต้องบอกว่ายัง เพราะมีอะไรอีกมากมายที่จะต้องเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับพนักงานของเรา”

คงเหมือนกับกิจกรรม “feedback” ที่ “อินเนส คาลไดรา” นำมาใช้กับโปรเจ็กต์ “simplicity” หรือ “ความเรียบง่าย” เพราะเธอคิดว่า…การที่เราจะไปถึงเป้าหมายในการเป็นเบอร์ 1 ธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อความงามเราจะต้องให้พนักงานแสดงความคิดเห็นออกมา

“พูดง่าย ๆ ว่าเราพยายามหล่อหลอมพฤติกรรมการทำงานของพนักงานเพื่อให้เขาแสดงออก โดยพฤติกรรมนั้นจะล้อไปกับความเชื่อของบริษัทด้วย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ หรือการดูแลสังคมต่าง ๆ เพื่อให้พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น แต่การจะทำเช่นนั้นได้ เราต้องฟังก่อน ดังนั้น การให้ feedback คือการให้พวกเขาพูด เพื่อที่เขาจะได้บอกว่าทำอย่างไรถึงจะมีความสุข ทำอย่างไรเขาจะเรียนรู้อะไรมากขึ้น”

“จากนั้นจึงค่อยนำมาปรับเปลี่ยนในเรื่องนโยบายทางด้านบุคลากรของเรา เพื่อจะได้ตรงกับความต้องการของเขา ซึ่งในส่วนของผู้บริหารทุกคนก็มีการประเมินผล 360 องศาเช่นกัน ทั้งนั้นเพื่ออยากทราบว่าพนักงานมองเราอย่างไร และเรามีส่วนที่จะปรับปรุง และพัฒนาในเรื่องของผู้นำอย่างไรบ้าง ฉะนั้น ในเรื่องนี้จึงเกี่ยวข้องโดยอ้อมกับการวาง career path ไปโดยปริยาย”

“เพราะการให้ feedback เป็นพื้นฐานในการสร้างอาชีพ และการเติบโตในอาชีพอย่างโปร่งใส ทั้งยังเป็นความกล้าอย่างหนึ่งด้วย ถามว่าง่ายไหม ไม่ง่าย แต่เป็นเรื่องจำเป็นมาก ถ้าเราจะต้องหารือกันแบบตรงไปตรงมาในอนาคตการทำงานของพนักงานคนใดคนหนึ่ง เพราะ feedback เป็นบทเริ่มต้นของการสนทนาที่จะปรับสไตล์การทำงานเข้าหากัน เพื่อหาเทรนนิ่งที่เหมาะสมกับสิ่งที่เขาต้องการ หรือหาโอกาสที่พนักงานคนนั้น ๆ อยากได้ เพื่อพวกเขาจะได้เติบโตต่อไปในอนาคต”

ผลเช่นนี้ จึงทำให้อดที่จะถาม “อินเนส คาลไดรา” ไม่ได้ว่า…เธอมีสไตล์การบริหารอย่างไร ?

“ดิฉันมีความสมดุลในการบริหารงานว่าถ้าเป็นผู้นำจะต้องมีวิชั่นให้กับพนักงาน และทำอย่างไรให้พนักงานมีกำลังใจ พวกคุณจะต้องฝันใหญ่ ต้องกล้าที่จะทำ และในส่วนของตัวดิฉันเองก็จะต้องบาลานซ์ในส่วนนี้ด้วย แต่อีกส่วนหนึ่งดิฉันเป็นผู้นำที่ลงมือทำด้วย ไม่ว่าจะออกไปตลาดเอง หรือถ้ามีปัญหาอะไรเราก็จะร่วมรับผิดชอบในส่วนนั้น ๆ ด้วย ขณะเดียวกัน ถ้าพนักงานประสบความสำเร็จ เราก็จะเฉลิมฉลองความสำเร็จไปพร้อม ๆ กับทีมงาน”

อันเป็นคำตอบของ “แม่ทัพลอรีอัล” คนปัจจุบันที่ชื่อ “อินเนส คาลไดรา”

 

ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลยพิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat 

หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!