5 หนังเด็ด เจ้าพ่อหนังมอนสเตอร์ “กิลเลอร์โม เดล โทโร่” ผู้กำกับยอดเยี่ยมเวทีออสการ์ปีล่าสุด

ภาพยนตร์มนต์รักใต้น้ำระหว่างสองเผ่าพันธุ์ THE SHAPE OF WATER ประกาศศักดาด้วยการกวาด 4 รางวัล บนเวทีออสการ์ 2018 โดยคว้ารางวัลใหญ่ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และรางวัลออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยม จากกระแสดังกล่าว ทำให้ชื่อของ “กิลเลอร์โม เดล โทโร่” ผู้กำกับเจ้าพ่อหนังมอนสเตอร์ถูกพูดถึงอย่างมากในตอนนี้ ซึ่ง THE SHAPE OF WATER ถือเป็นแนวทางทดลองของผู้กำกับรายนี้ หลังผลงานที่ผ่านมา มีทั้งงานแอ็คชั่นแฟนตาซี สยองขวัญ มอนสเตอร์ ที่เน้นโทนดาร์ค แต่ผลงานล่าสุด เดล โทโร่ เลือกที่จะนำเสนอความรักบนความต่างระหว่างสองเผ่าพันธุ์ โดยที่ยังคงเอกลักษณ์เนรมิตรงานสร้างตระการตาเอาไว้

ในฐานะที่ชื่อของเดลโทโร่ดังกระหึ่มบนเวทีออสการ์ปีนี้ เราลองย้อนกลับไปดูผลงานภาพยนตร์เด่นๆ และการดีไซน์ สร้างสรรค์ตัวละครมอนสเตอร์ให้มีชีวิต ของเดล โทโร่ กันเลย

Cronos (1993)

ผลงานสร้างชื่อให้กับ เดล โทโร่ เป็นที่รู้จัก จาก “โครนอส” หรือแมลงเต่าทองดูดเลือด สิ่งประดิษฐ์โบราณอายุ 450 ปี โดยหนังเล่าถึงแวมไพร์สัญชาติเม็กซิกัน ที่เป็นอมตะจากการครอบครองสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ แต่ก็ทำให้มีความกระหายเลือดอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อวันหนึ่ง ของชิ้นนี้ได้มาอยู่กับชายเจ้าของร้านขายของเก่า การไล่ล่าจึงเกิดขึ้น

Mimic (1997)

ยังอยู่ในหนังช่วงแรกของ เดล โทโร่ หนังมีฉากหลังเป็นมหานครแมนฮัตตัน ที่กำลังเกิดโรคสทริคเกอร์ที่กำลังระบาดอย่างหนัก โดยมีแมลงสาบเป็นพาหะนำโรค ด็อกเตอร์ซูซานและโรเบิร์ต และทีมงานแล็บชาติพันธุ์วิทยาแห่งชาติ ได้พยายามคิดค้นวิธีกำจัดแมลงสาบที่กำลังแพร่กระจายเชื้อโรค แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งทำให้เกิดการผสมข้ามสายพันธุ์ กลายเป็นแมลงสาบยักษ์ที่มีขนาดสูงกว่ามนุษย์ แถมยังมีปีกบินได้ โดยเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นกำจัดมนุษย์แทน จนพวกเขาต้องลงไปทางรถไฟใต้ดินเพื่อไล่ล่า กำจัดสิ่งที่สร้างขึ้นมา

เรื่องนี้ยังคงกลิ่นหนังสัตว์ประหลาดไล่ล่า ที่มีความดาร์ก ความโหด แหวะสยอง ความลุ้นระทึกเอาไว้เต็มๆ ขณะที่งานสร้างดีไซน์ตัวสัตว์ประหลาด มีความน่าเกลียดชวนแหวะมากกว่างดงาม แต่ก็สนุก และเป็นหนึ่งในงานยุคแรกของเดล โทโร่ ที่โปรดักชั่นเล็กๆ แต่ขึ้นชั้นความระทึก

 

Blade ll (2002)

ภาคต่อของหนังแอนตี้ฮีโร่ลูกครึ่งมนุษย์แวมไพร์ ภาคนี้ได้ เดล โทโร่ มาสานต่อความมันส์ และได้สร้างตัวร้ายสุดโหดนามว่า ริปเปอร์ ที่มีดีไซน์ต่างออกไปจากเหล่าแวมไพร์ภาคแรก โดยสามารถขยายเปิดปากได้อย่างน่าสยดสยอง ที่ต้องการกำจัดทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ และแวมไพร์ ซึ่งภาคนี้ มีทั้งความสนุก และงานออกแบบที่ชวนสยดสยองกว่าภาคแรก ทำให้ เบลด 2 เป็นภาคที่หลายคนยกให้เป็นหนังที่สนุกที่สุดในไตรภาค

 

Hell Boy 1-2 (2004/2008)

ดูเหมือนเดล โทโร่ จะชื่นชอบแนวแอนตี้อีโร่ เฮลล์บอย ก็เป็นอีกหนึ่งฮีโร่ที่ไม่ได้มีภาพลักษณ์ที่สวยงาม หล่อเท่ แถมต้องมาปกป้องโลก พิทักษ์ความคุณธรรม ช่วยมนุษย์จากสัตว์ประหลาด ทั้งที่เหล่ามนุษย์ไม่ได้ให้การยอมรับนัก ใน Hell Boy ผู้ชมจะได้เห็นโลกมอนของสเตอร์ที่ เดล โทโร่ สร้างสรรค์ขึ้นอย่างละเมียด มีหลายตัวละครที่เป็นภาพจำมากมาย และเป็นหนังที่ทำให้แฟนๆ รู้จักชื่อของเดล โทโร่ ในวงกว้างมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งเดล โทโร่ได้กลับมาสานต่อกำกับ Hell Boy ต่อในภาค 2 ซึ่งก็ยิ่งโดดเด่นในด้านความอลังการ และขึ้นแท่นเป็นเจ้าพ่อหนังมอนสเตอร์ในโลกภาพยนตร์

Pan’s Labyrinth (2006)

อีกผลงานที่แฟนๆ ชื่นชอบเอามากๆ ของ เดล โทโร่ แม้หน้าหนังจะดูแฟนตาซี นิยายๆ แต่หนังยังคงโหด มีความดาร์ก ตามสไตล์ผู้กำกับคนนี้ หนังเล่าถึงเรื่องราวจินตนาการของเด็กหญิง โอฟีเลีย โดยเธอได้พบกับเขาวงกตของเทพฟอน ซึ่งได้มอบหนังสือนิทานชื่อ Book of Crossroads และพบว่าจริงๆแล้วเธอเป็นเจ้าหญิงในเทพนิยายชื่อ เจ้าหญิงโมแอนนา โอฟีเลียจะต้องปฏิบัติภารกิจตามที่เทพฟอนสั่ง จึงจะได้กลับไปครองอาณาจักรของเธอ ซึ่งหนังเรื่องนี้ ยังมีความโดดเด่นที่มอนสเตอร์โหดๆ มากมายในโลกเขาวงกต ที่เปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์ และลายเซ็นของ เดล โทโร่

นอกจากนี้ ยังมีอีกสองผลงานที่น่าสนใจของเดล โทโร่ อย่าง Pacific Rim และ Crimson Peak ที่เอาจินตนาการ และสไตล์ของ เดล โทโร่ มาต่อยอดเป็นหนังที่มีแฟนๆ ชื่นชอบอย่างมาก โดยเฉพาะ Pacific Rim ที่หยิบเอาการ์ตูนหุ่นยนต์ญี่ปุ่นมาดีไซน์ หุ่นรบ และ ไคจู ชนิดเอาใจแฟนๆ อย่างมาก