คอลัมน์ : Market-think ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์
เคยมีคนตั้งคำถามในวงสนทนานักธุรกิจกลุ่มหนึ่งครั้งหนึ่งว่า ถ้าไทยจำเป็นต้องเลือกข้าง
เราควรเลือก “จีน” หรือ “สหรัฐอเมริกา”
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 พ.ค. ย้อนหลัง 10 ปี
- เปิดค่าซ่อม “รถอีวี vs รถใช้น้ำมัน” แพงกว่ากันเท่าไร
- ออมสิน จัดโปรฯเด็ดเงินฝากดอกเบี้ย 21% สลาก 1 ปี แจกทอง 10 กิโล
คำตอบส่วนใหญ่ คือ “จีน”
มีน้อยคนที่ตอบว่า “สหรัฐอเมริกา”
อาจเป็นเพราะส่วนใหญ่เห็นว่าจีนเป็นประเทศมหาอำนาจที่อยู่ในเอเชียด้วยกัน และเป็นลูกค้ารายใหญ่ของไทย
ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว หรือมาลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย
รวมถึงการค้าขายออนไลน์ด้วย
เป็นเพื่อนกับจีน เราน่าจะได้ประโยชน์มากกว่าสหรัฐอเมริกา
ตอนแรกผมก็คล้อยตาม
แต่ทันทีที่รัสเซียตัดสินใจบุกยูเครน และสหรัฐอเมริกากับกลุ่มอียูออกมาตรการแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจรัสเซียอย่างรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
ตอนแรกนึกว่าจะแซงก์ชั่นตามปกติ
แต่ถึงขั้นห้ามบินผ่าน แช่แข็งทรัพย์สินและเงินฝากของนักธุรกิจรัสเซีย รวมถึงเล่นมาตรการด้านการเงินด้วย
ขนาดสวิตเซอร์แลนด์ที่ถือว่าเป็นประเทศที่เป็นกลางไม่ยุ่งเกี่ยวกับฝ่ายใดยังเล่นด้วย ประกาศแช่แข็งเงินในบัญชีของนักธุรกิจรัสเซีย
มาตรการทั้งหมดรุนแรงระดับที่ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียดิ่งเหว “ปูติน” ต้องปิดตลาดหุ้นและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
เป็นการโดดเดี่ยว “รัสเซีย” อย่างจริงจัง
ทางการทูต อียูก็เดินหน้าเต็มตัวกดดันประเทศต่าง ๆ ที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ พยายามบอกว่าเป็นกลาง
กดดันจนหลายประเทศต้องยอมลงมติประณามรัสเซียในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ
รวมทั้ง “ไทย” ด้วย
เห็นการผนึกกำลังระหว่างสหรัฐอเมริกาและอียูแล้ว ต้องยอมรับว่าพลานุภาพของสหรัฐอเมริกาใหญ่จริง ๆ
โดยเฉพาะในโลกทุนนิยมอย่างวันนี้เขากำหนดเกมได้จริง
ขนาด “รัสเซีย” ที่ถือว่าเป็นมหาอำนาจประเทศหนึ่งของโลก ยังแทบเป็นง่อยเลย
ดังนั้น ถ้าคิดแบบเอาผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก เราไม่ควรเลือกข้าง “จีน” หรือ “สหรัฐอเมริกา”
ต้องพยายามรักษาความเป็นกลาง แต่ต้องมีกระดูกสันหลัง
อย่างเช่น การบุกประเทศอื่น เราต้องไม่เห็นด้วย
ไม่ใช่เดินตามนโยบาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
อะไร ๆ ก็ไม่รุ-ไม่รู้
“มหาอำนาจ” นั้นเหมือน “พระอาทิตย์”
อยู่ใกล้ไปก็ร้อน
ไกลไปก็หนาว
ต้องรักษา “ระยะเหมาะสม” ให้ได้
ลำพังแค่พระอาทิตย์ดวงเดียวก็หาระยะเหมาะสมยากแล้ว
แต่ปัจจุบันในโลกใบนี้มีพระอาทิตย์ 2 ดวง คือ สหรัฐอเมริกา และจีน
ยิ่งหาระยะเหมาะสมยากยิ่งกว่าเดิม
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเห็นจากสงคราม “รัสเซีย-ยูเครน” ครั้งนี้
คือ ความเป็นมหาอำนาจของภาคเอกชน
เพราะนอกจากรัฐบาลยูเครนจะประสานงานกับสหรัฐอเมริกาและอียู เพื่อขอความช่วยเหลือแล้ว
กระทรวงดิจิทัลของยูเครนส่งทวิตเตอร์ถึง “อีลอน มัสก์” ในวันที่ระบบการสื่อสารของประเทศถูกทำลาย ด้วยประโยคที่กินใจ
“ขณะที่คุณพยายามตั้งรกรากบนดาวอังคาร รัสเซียพยายามยึดครองยูเครน ! ขณะที่จรวดของคุณลงจอดจากอวกาศได้สำเร็จ จรวดรัสเซียโจมตีพลเรือนยูเครน ! เราขอให้คุณจัดหาสถานีสตาร์ลิงก์ให้ยูเครน”
ได้ผลมากเลยครับ “อีลอน มัสก์” ส่งสถานีสตาร์ลิงก์ให้ “ยูเครน” ทันที
นอกจากนั้นยังส่งให้ภาคเอกชนหลายรายเพื่อให้ร่วมแซงก์ชั่นรัสเซีย
ทั้งแอปเปิล-วีซ่า-มาสเตอร์การ์ด-เฟซบุ๊ก ฯลฯ
แทบทุกรายเข้าร่วมหมด
มาตรการแซงก์ชั่นของภาคเอกชนทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของคนรัสเซียมีปัญหามากขึ้น
สหรัฐต้องการกดดันให้ชาวรัสเซียออกมาประท้วง “ปูติน”
สร้างแรงกดดันในประเทศทำให้ “ปูติน” พะว้าพะวังขยับเรื่องนอกประเทศได้ยากขึ้น
สงคราม “รัสเซีย-ยูเครน” ครั้งนี้ ทำให้เห็นถึงพลังภาคเอกชนที่ส่งผลสะเทือนต่อโลกได้ชัดเจนขึ้น
ผมนึกถึงคำถามหนึ่งที่เคยมีคนถาม
“ประเทศอะไรใหญ่ที่สุดในโลก”
ส่วนใหญ่จะตอบว่า “จีน”
แต่คำตอบก็คือ ประเทศเฟซบุ๊ก
ประชากรที่ใช้เฟซบุ๊กเยอะที่สุด
แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของภาคเอกชนได้เป็นอย่างดี
และวันนี้ภาพนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น