6 ชาติอาเซียนเปิดตัว “ระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียน” พร้อมให้บริการลดอุปสรรค-อำนวยความสะดวกขนส่งสินค้าระหว่าง 6 ประเทศ ส่งเสริมการค้า-การลงทุนในภูมิภาค
เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 63 ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจได้เข้าร่วมงานแถลงข่าวออนไลน์เปิดตัวระบบการขนส่งด้านศุลกากรออนไลน์ใหม่ที่เรียกว่า “ระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียน” (ASEAN Customs Transit System) หรือ ACTS อย่างเป็นทางการ โดยสำนักเลขาธิการอาเซียนที่กรุงจาการ์ต้า ประเทศอินโดนิเซีย เพื่อมุ่งที่จะลดอุปสรรคในการค้าภายในกลุ่มสมาชิกประเทศอาเซียน และอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าผ่านแดนของประเทศต่าง ๆ ได้ทั่วภูมิภาค
- ด่วน! วอยซ์ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
ระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียน(ACTS) เป็นการริเริ่มอำนวยความสะดวกสำหรับการค้าในอาเซียน ภายใต้ข้อตกลงการอำนวยความสะดวกให้สินค้าที่อยู่ระหว่างการขนส่ง (AFAFGIT) และพิมพ์เขียวการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2025 (ASEAN Economic Community Blueprint 2025) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป ผ่านทาง ” EU-funded ARISE Plus ” โดยได้รับการออกแบบเพื่ออำนวยความสะดวกกับการค้า การลงทุน การบริการระหว่าง 6 ประเทศในอาเซียน ได้แก่ ไทย กัมพูชา เวียดนาม สปป.ลาว มาเลเซีย และสิงคโปร์
โดยภายใต้ระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียน ภาคเอกชนสามารถแจ้งด้านศุลกากรครั้งเดียวสำหรับการขนส่งสินค้าผ่าน 6 ประเทศ ซึ่งจะครอบคลุมการขนส่งสินค้าทั้งหมดโดยไม่จำเป็นที่จะต้องแจ้งศุลกากรในแต่ละประเทศ
ภายในงานนาย ลิม จ็อค ฮอย เลขาธิการอาเซียน กล่าวว่า การนำระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียนมาบังคับใช้จะอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าอย่างราบรื่นในภูมิภาค และเป็นเครื่องมือในการเพิ่มการค้าและเครือข่ายการผลิตของอาเซียน นอกจากนี้นายลิมยังได้ยกตัวอย่างว่า ระบบนี้สามารถช่วยให้การขนส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ระหว่างประเทศได้ง่ายขึ้นในช่วงที่กำลังเกิดวิกฤตโควิด-19
“คูน ดูนส์” ผู้อำนวยการใหญ่ด้านความร่วมมือและการพัฒนาระหว่างประเทศ แห่งคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวว่า ระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียน จะช่วยให้การเคลื่อนย้ายสินค้าง่ายและรวดเร็วขึ้นตลอดพรมแดนของประเทศสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วม ซึ่งทางสมาคมยุโรปได้ร่วมมือกับอาเซียนเพื่อทำให้ระบบใช้ได้จริง โดยการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคและเงินทุน 10 ล้านยูโรตั้งแต่ปี พ.ศ.2555