รวมพลังกู้วิกฤตประเทศ

Photo by AP
บทบรรณาธิการ

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทุกประเทศทั่วโลกรวมทั้งไทยเผชิญวิกฤตด้านสุขภาพอนามัยครั้งร้ายแรงสุด กระทบในวงกว้างทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม แม้เทียบไม่ได้กับวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 แต่ครั้งนี้หนักหนาสาหัสกว่าที่ผลกระทบ และความเสียหายยังเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่รู้จุดสิ้นสุด

ผ่านไปปีเศษตั้งแต่ต้นปี 2563 ถึงกลางปี 2564 นอกจากโควิดจะแพร่กระจายคุมไม่อยู่ พิษสงของไวรัสกลายพันธุ์ยังอันตรายรุนแรงเกินคาด ยอดผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิตทำสถิติใหม่รายวันจนน่าตกใจ ส่วนหนึ่งมาจากการบริหารจัดการของภาครัฐขาดประสิทธิภาพ ขณะที่แพทย์ พยาบาล กับอีกหลายหน่วยงานที่ทำหน้าที่ด่านหน้ากำลังเหนื่อยล้า จากภาระที่ล้นมือ

วิกฤตที่นับวันยิ่งรุนแรง วัคซีน ยา เวชภัณฑ์มีจำกัดมากขึ้น ระบบสาธารณสุขหลายพื้นที่รับไม่ไหว ผู้ป่วยรอเตียง คนไข้อาการหนักเพิ่มขึ้นทุกวัน สถานการณ์อาจเลวร้ายกว่านี้ หากไม่มีตัวช่วย กลุ่มจิตอาสา สมาคม มูลนิธิ รวมทั้งประชาชน ภาคเอกชนหลายองค์กร ที่แสดงน้ำใจยื่นมือให้ความช่วยเหลือ ทำงานเป็นด่านหลังโดยไม่หวังผลตอบแทน

อย่างกลุ่มเส้นด้าย มูลนิธิกระจกเงา กลุ่ม COVID Thailand AID กองทุนพัฒนาโรงพยาบาลชุมชน และ รพ.สต. สู้ภัยโรคอุบัติใหม่โควิด-19 โดยมูลนิธิแพทย์ชนบท มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม ฯลฯ ยอมเสียสละกำลังกาย กำลังทรัพย์ ช่วยผู้ติดเชื้อที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุข

ขณะที่ผู้นำชุมชน คนดัง พระสงฆ์ วัด โรงพยาบาลเอกชน บริษัทเอกชน ต่างร่วมด้วยช่วยกัน แจกจ่ายยา อาหาร จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม

Advertisment

เป็นนิมิตหมายที่ดีที่หลายภาคส่วนร่วมมือร่วมใจกันในสถานการณ์ที่กำลังวิกฤต เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยจากพิษโควิดที่ลามไม่หยุด คนทั้งประเทศตื่นตระหนกและวิตกกังวลกับความสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตและสุขภาพอนามัย การมีจิตสาธารณะ ยอมเสียสละ แบ่งปันช่วยเหลือ จึงเป็นพลังแห่งความสามัคคี เป็นภูมิคุ้มกันชั้นดีในยามที่ต้องสู้ศึกเชื้อโรค

จะน่ายินดีกว่านี้ หากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นความสำคัญของกลุ่ม องค์กรเหล่าจิตอาสาทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง ด้วยการอำนวยความสะดวก สนับสนุนการทำงาน ประสานความร่วมมือให้เป็นเอกภาพ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยผ่อนคลายทุกข์ผู้ติดเชื้อ ผ่อนภาระระบบสาธารณสุข

โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วง 1 เดือนจากนี้ไปที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าโควิดจะวิกฤตรุนแรง เป็นช่วงเวลาอันตรายที่ยอดผู้ติดเชื้อทั่วประเทศจะพีกสุด ถ้าภาครัฐ เอกชน ภาคประชาชน ยังต่างคนต่างทำ ไม่รวมพลังช่วยกันคนละไม้คนละมือ ไม่รู้เศรษฐกิจ สังคมไทย จะต้องเซ่นพิษเสียหายอีกเท่าไร