เก็บภาษีทุนในระดับโลก สกัดฟองสบู่เก็งกำไรคริปโทเคอร์เรนซี

ลงทุน
ดุลยธรรม

ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ

 

สัญญาณฟองสบู่แตกแบบวิกฤตการณ์สินเชื่อซับไพรมอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต แม้มีความเสี่ยงโอมิครอนระบาดระลอกใหม่ชะลอเศรษฐกิจโลกก็ตาม ฟองสบู่ในตลาดการเงินโลกที่สะสมมาอย่างยาวนานตลอดช่วงเวลาของการใช้มาตรการ QE กระตุ้นเศรษฐกิจ สภาพคล่องล้นเกินเหล่านี้ได้ไหลเข้าสู่ตลาดการเงินมากกว่าภาคการผลิตและภาคเศรษฐกิจจริงมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ตลาดการเงินยังไม่มีปรับฐานครั้งใหญ่แต่อย่างใด ยกเว้นในปี พ.ศ. 2563 อันเป็นผลกระทบจากการล็อกดาวน์

หนี้สาธารณะมหาศาลของประเทศพัฒนาแล้ว ตลอดจนการขยายตัวของการลงทุนแบบเก็งกำไรใน “คริปโทเคอร์เรนซี” และ “สินทรัพย์ดิจิทัล” อาจก่อให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินโลกรุนแรง และเกิดฟองสบู่ตลาดการเงินแตกได้ ในช่วงปี พ.ศ. 2565-2566

การทยอยลดมาตรการ QE จะช่วยลดฟองสบู่ในตลาดการเงินได้บ้าง แต่ไม่เพียงพอหยุดยั้งวิกฤตการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และการเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา อังกฤษ (ปรับดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว) หรือประเทศพัฒนาอื่น ๆ จะทำให้ภาคการผลิตและภาคเศรษฐกิจแท้จริงได้รับผลกระทบในช่วงฟื้นตัวจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโควิด ความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาดการเงินในปีหน้าเป็นสิ่งที่นักลงทุนรวมทั้งธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ต้องเตรียมรับมือความท้าทายดังกล่าวให้ดี ขณะเดียวกันความผันผวนอย่างรุนแรงนี้อาจก่อให้เกิด “วิกฤตการณ์” และ “โอกาส” ได้พร้อมกัน

การลด QE และขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศพัฒนาแล้ว อาจไม่สามารถหยุดภาวะฟองสบู่ในตลาดการเงินได้ จึงเสนอเก็บภาษีทุนในระดับโลกเพื่อลดความผันผวนและความเสี่ยงฟองสบู่ของตลาดการเงินโลก รวมทั้งลดความเหลื่อมล้ำอย่างมหาศาลในระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์ในยุคการแพร่ระบาดของโควิด และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนวัตกรรมทางการเงิน

โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการลงทุนแบบใหม่ทำให้คนกลุ่มเล็ก ๆ เจ้าของบริษัทไฮเทคครอบครองตลาด และสามารถก้าวข้ามผ่านกฎระเบียบอันล้าสมัยสร้างผลกำไรโดยไม่ต้องเสียภาษีในหลายประเทศทั่วโลก

การจัดระเบียบกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่เหล่านี้มีความจำเป็นต่อการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม และป้องกันฟองสบู่แตกรุนแรงในอนาคต แม้ทิศทางอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ไม่น่าจะเป็นสภาวะที่ยาวนาน เพราะราคาพลังงานจะไม่สูงเช่นในอดีต จากอุปสงค์การใช้พลังงานจากการเดินทางยังอ่อนแอ ขณะที่นวัตกรรมทางพลังงานได้สร้างทางเลือกให้เกิดอุปทานของพลังงานมากมาย

ที่น่าห่วงคือหากไม่มีสัญญาณของการกระเตื้องขึ้นของเศรษฐกิจเลย จะเผชิญสภาวะ stagflation ทันที คือ เงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจชะงักงันชะลอตัว ว่างงานสูง ภาวะ stagflation เป็นสภาพที่แก้ไขยาก เพราะหากใช้นโยบายการเงินการคลังผ่อนคลายมากเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ว่างงานสูง ก็จะสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อได้

ระบบรัฐสวัสดิการ และระบบภาษีในอัตราก้าวหน้า ในศตวรรษที่ 20 คือ ข้อค้นพบทางด้านเศรษฐศาสตร์ และนโยบายสาธารณะ ในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพ เพิ่มคุณภาพชีวิตให้ประชาชน สร้างความมั่นคงให้ระบบการเมือง และเกิดสังคมสันติธรรม ภายใต้พลวัตของสิ่งต่าง ๆ

โดยเฉพาะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการเงินในศตวรรษที่ 21 การเก็บภาษีทุนในระดับโลกแบบอัตราก้าวหน้า พร้อมกับการพัฒนาระบบและกลไกให้เกิดความโปร่งใสในระบบการเงินระหว่างประเทศ จะลดความเหลื่อมล้ำภายในประเทศต่าง ๆ และความเหลื่อมล้ำระหว่างชาติร่ำรวยและชาติยากจนอีกด้วย

ระบบและกลไกดังกล่าวจะทำให้การกระจุกตัวของทุนขนาดยักษ์ใหญ่ และผลกำไรมหาศาลเกินจุดดุลยภาพลดลง ทุนนิยมโลกาภิวัตน์จะมีลักษณะเป็น “เศรษฐกิจดุลยธรรม” มากขึ้น หากไม่เก็บภาษีตลาดทุนโลกในภาวะความเหลื่อมล้ำของโลกอยู่ในระดับสูงสุดเช่นนี้ เราจะเห็นการย้อนกลับของโลกาภิวัตน์ หรือเกิดกระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์ และต่อต้านระบบการค้าเสรีของกลุ่มชาตินิยมในประเทศต่าง ๆ ด้วยการกีดกันทางการค้า (trade protectionism) หรือแม้กระทั่งใช้วิธีการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนแบบบังคับ (capital control)

ขณะที่การเก็บภาษีทุนโลกจะรักษาระบบการค้าเสรีของโลกเอาไว้ พร้อมการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไป เป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงของระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย รวมทั้งยังจะช่วยกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและระหว่างประเทศให้เป็นธรรมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ “ภาษีทุนโลก” จะช่วยประคับประคองให้ “เศรษฐกิจโลก” เข้าสู่จุดดุลยภาพที่เหมาะสมอันเป็นผลดีต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีทุนในระดับโลกจะเกิดขึ้นได้ในเบื้องต้นเลย ต้องเกิดความร่วมมือของสถาบันการเงิน สถาบันการลงทุนต่าง ๆ และธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ในการทำให้เกิด การแบ่งปันข้อมูลธุรกรรมทางการเงินแบบอัตโนมัติ ธุรกรรมการลงทุน ผลกำไรต่าง ๆ ผ่านระบบที่ขอเรียกว่า global automatic sharing of bank and financial data ก่อน

ความโปร่งใสทางการเงินและแบ่งปันข้อมูลทางการเงิน จะทำให้เราสามารถเก็บภาษีทุนโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และจะทำให้ตระหนักว่า อภิมหาเศรษฐี หรือ super rich 1% และ 10% ของโลกนั้นยังเสียภาษีให้กับโลกและประเทศต่าง ๆ ที่คนเหล่านี้เป็นพลเมืองอยู่น้อยเกินไป (ซึ่งอภิมหาเศรษฐีหลายท่านก็มีหลายสัญชาติอีกต่างหาก)

เวลานี้คนยากจนในประเทศยากจนสุดกำลังจะอดตายจำนวนหลายล้านคน คนในแอฟริกาจำนวนมากไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แม้แต่เข็มเดียว ทั้งทวีปแอฟริกามีอัตราการฉีดวัคซีนไม่ถึง 10% หากยังเป็นแบบนี้การระบาดโควิดจะยืดเยื้อมาก และกลายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ การเรียกร้องให้บริจาคอาจไม่เพียงพอ ควรเก็บภาษีทุนโลก และมีทรัพย์สินจำนวนมากกองกระจุกอยู่ในกลุ่มคนเล็ก ๆ ซึ่งควรนำมาหมุนเวียนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มีรายได้ให้นำไปมอบให้องค์การอนามัยโลก องค์การยูนิเซฟ หรือธนาคารโลก เพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกผู้เดือดร้อนโดยด่วนจะดีกว่า